ครูลมุล ยมะคุปต์ ผู้ยืนหนึ่งในปรมาจารย์นาฏศิลป์ไทย
ถ้าพูดถึงวงการนาฏศิลป์ไทยแล้ว นับว่ามีปรมาจารย์ในด้านนี้หลายท่านด้วยกัน อาทิ พระยานัฏกานุรักษ์(ทองดี สุวรรณภารต) คุณหญิงนัฏกานุรักษ์(เทศ สุวรรณภารต) ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี คุณครูเฉลย ศุขะวณิช คุณครูต่วน ศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก คุณครูหมัน มัลลี คงประภัศร์ แต่ยังมีอีกท่านนึงที่จะพูดถึงไม่ได้ ถือว่านับเป็นยอดปรมาจารย์แห่งยุค ผู้วางรากฐานการศึกษาวิชานาฏศิลป์ไทยให้แก่ประเทศ คนผู้นั้นก็คือ คุณครูลมุล ยมะคุปต์
อัจฉริยภาพของคุณครูลมุล ยมะคุปต์
อัจฉริยภาพ หมายถึง ความรู้ความสามารถที่เกินกว่าระดับปกติ (พจนานุกรม 2525 : 893) คุณครูลมุล ท่านมีคุณสมบัติปรากฎชัดทั้งในหมู่ศิษย์และบุคคลทั่วไปว่า คุณครูมีอัจฉริยภาพทางด้านนาฏศิลป์ ไม่ว่าในเรื่องการแสดงที่ผ่านมาในอดีต ความเป็นครูที่เหนือครูอื่นทั้งหลาย แม้กระทั่งศิลปินชั้นครู เช่น พระยานัฏกานุรักษ์(ทองดี สุวรรณภารต) และคุณหญิงนัฏกานุรักษ์(เทศ สุวรรณภารต) ซึ่งมีหน้าที่บังคับบัญชาโขนหลวงละครหลวง ในกรมมหรสพ รัชกาลที่6 ก็กล่าวยกย่องให้ปรากฎในหมู่ศิลปินด้วยกันว่าท่านมีคุณสมบัติเช่นนั้น เมื่อ พณฯ หลวงวิจิตรวาทการ จัดตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ หรือต่อมาคือ วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร พระยานัฏกานุรักษ์ ได้แนะนำ พณฯ ให้เชิญคุณครูลมุล ยมะคุปต์เข้ามาเป็นครูถ่ายทอดนาฏศิลป์ ทั้งเป็นผู้วางหลักสูตรการเรียนการสอน จนมีศิษยานุศิษย์ได้ออกไปก่อตั้งสถาบันที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์แพร่หลายในปัจจุบัน ก็ล้วนแล้วแต่เกิดมาจากแนวทางความคิดอันเป็นอัจฉริยะของท่านเป็นส่วนใหญ่
เหตุใดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านมีอัจฉริยภาพทางด้านนาฏศิลป์มากมายเช่นนี้? เป็นคำถามที่เหล่าลูกศิษย์ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ
การที่คุณครูลมุล ยมะคุปต์หรือแม่ลมุล ของลูกศิษย์ทุกคนมีอัจฉริยภาพทางด้านนาฏศิลป์มากมายประมาณนั้น สามารถวิเคราะห์จากประวัติและผลงานต่างๆ โดนแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆได้ดังนี้
ประวัติคุณครูลมุล ยมะคุปต์
ช่วงที่1 พ.ศ.2448-พ.ศ.2453
คุณครูลมุล ยมะคุปต์ เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2448 ที่จังหวัดน่าน บิดาชื่อร้อยโท จีน อัญธัญภาติ มารดาชื่อ นางคำม้อย อัญธัญภาติ (เชื้ออินต๊ะ) นางคำมอย มีเชื้อสายเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน คุณครูลมุลกำเนิดขึ้นเมื่อครั้งนั้นคราวที่คุณพ่อขึ้นไปราชการปราบกบฎ(กบฎเงี้ยว จ.ศ.1264 ปีขาล) คุณครูลมุลมีพี่น้อง 8 คน แต่เท่าที่รวบรวมได้เพียง 5 คน ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด น้องสาวที่ชื่อองุ่น ก็มีใจรักในนาฏศิลป์เช่นกัน
คุณครูลมุล ใช้ชีวิตในวัยเยาว์ตั้งแต่กำเนิด จนอายุได้ 5 ปี ราวปี พ.ศ.2453 ก็ได้อพยพครอบครัวลงมาอยู่กรุงเทพฯ ได้เข้าเรียนวิชาสามัญที่โรงเรียนสตรีวิทยา แต่ศึกษาได้เพียง 1 ปี ก็เลิกเรียน เพราะปลายปี พ.ศ.2453 หรือต้นปี พ.ศ.2454 วังสวนกุหลาบ ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ในขณะนั้น โปรดให้เปิดรับสมัครเด็กหญิงเข้ามาหัดเป็นละครเพราะเหตุว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ และได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ เป็นการชั่วคราว เพื่อทรงร่วมในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบรมชนกนาถ ขณะที่ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์ เดชาวุธ ซึ่งเป็นพระเชษฐาและทูลขอให้หัดละครให้ 4 ตัว คือ พระ นาง ยักษ์ ลิง เพื่อจะได้นำไปจัดตั้งคณะละครสำหรับพระองค์เมื่อเสด็จกลับจากการศึกษา
จากการศึกษาประวัติชีวิตในช่วงนี้ สามารถวิเคราะห์ได้ว่า คุณครูลมุล จะต้องมีใจรักในวิชานาฏศิลป์ เป็นทุนเดิมอาจเป็นไปได้ว่า น่าจะมีผลมาจากครอบครัวฝ่ายคุณแม่คำมอย ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าเมืองน่าน ด้วยเหตุที่ประเพณีของอาณาจักรล้านนา แต่โบราณ ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะต้องได้รับการฝึกหัดในเรื่องของการฟ้อนรำ เพราะเป็นจารีตที่เจ้านายเมืองเหนือ จะต้องฟ้อนต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ดังปรากฏหลักฐานในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบพระนครภาคพายัพ(เชียงใหม่) เจ้านายผู้ชาย ก็ฟ้อนรำนำขบวนบายศรีสู่พระขวัญ และในงานต้อนรับ(ถวายพระกระยาหาร) เจ้านายฝ่ายในก็ฟ้อยถวายเช่นกัน
ช่วงที่2 ชีวิตในวังสวนกุหลาบ พ.ศ.2454-พ.ศ.2461
บิดาได้นำตัว คุณครูลมุลมาที่วังสวนกุหลาบและได้ถวายตัวเป็นละครในครั้งนั้นด้วยรวมแล้วมีเด็กหญิงมาถวายตัวประมาณ 150 คน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา โปรดให้รับไว้ทั้งหมด ทั้งยังประทานที่อยู่ เงินเบี้ยเลี้ยงคนละ 3 บาทต่อเดือน และโปรดให้อยู่ในความดูแลของคุณท้าวนารีวรคณารักษ์(เจ้าจอมแจ่ม ในรัชกาลที่5) การที่คุณท้าวนารีวรคณารักษ์ ได้รับความไว้วางพระทัยจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาให้เป็นผู้ดูแลวังสวนกุหลาบต่างพระเนตรพระกรรณ เพราะ คุณท้าวนารีวรคณารักษ์ เป็นพระอภิบาลของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ มาแต่ยังทรงพระเยาว์
บรรดาเด็กหญิงที่มาถวายตัวเป็นข้าหลวงเพื่อฝึกละครที่วังสวนกุหลาบในครั้งนั้น เมื่อแรกเข้ามามีพ่อแม่หรือญาตินำมาฝากกับคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ เมื่อรวบรวมได้จำนวนพอสมควรแต่ละครั้งจะทำพิธีถวายตัวต่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาสักครั้งหนึ่ง พิธีถวายตัว คือในเด็กแต่ละคนมีดอกไม้ ธูปเทียน เข้ากราบถวายบังคมต่อเบื้องพระพักต์สมเด็จฯ เจ้าฟ้า โดยคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ เป็นผู้นำถวายตัวทุกครั้ง จากนั้นได้มอบตัวให้คุณครูละครประจำวังสวนกุหลาบทั้ง 3 ท่าน คือ หม่อมครูนุ่ม หม่อมครูอึ่ง และหม่อมครูแย้ม ฝึกหัดไปตามความเหมาะสมว่า ผู้ใดจะเป็นพระ เป็นนาง แต่ภายหลังก็ลาออกไปบ้าง ข้าหลวงที่เข้ามาถวายตัวเป็นละครนั้น มีอายุแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดแบ่งรุ่นตามปีเกิด ดังนี้
รุ่นใหญ่
จัดกลุ่มจากผู้ที่เกิดในปีจอ-ปีกุน (พ.ศ.2441-2442) จากการสัมภาษณ์ครูเฉลย
1.สมัย (แสดงเป็นตัวท้าวสามล ในเรื่องสังข์ทอง)
2.ผัน
3.เชื้อ (แสดงเป็นตัวนางมณฑา ในเรื่องสังข์ทอง)
รุ่นรองอันดับ2
เป็นผู้ที่เกิดระหว่างปีชวด-ฉลู-ขาล-เลาะ (พ.ศ.2443-2446)
1.แผ้ว (ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี) เกิดปีขาล (พ.ศ.2445)
2.เผือก (แสดงเป็นตัวท้าวมาลีวราช และเป็นผู้ที่รำชุดลงสรง (ต่อก้านต่อดอก) ซึ่งคุณท้าววรจันทร์(วาด) เป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำ)
3.ผาด
4.น้อย เกิดปีชวด (พ.ศ.2443)
5.นิด
6.ลเมียด เกิดปีชวด (พ.ศ.2443)
รุ่นรองอันดับ3
เป็นผู้ที่เกิดระหว่างปีมะโรง-มะเส็ง-มะเมีย (พ.ศ.2447-2449) รุ่นนี้เป็นรุ่นของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ และคุณครูเฉลย ศุขะวณิช มีเพื่อนร่วมรุ่นดังนี้
1.เฉลย (ฮวย รัฎพฤกษ์) ศุขะวณิช เกิดปีมะโรง (พ.ศ.2447) แสดงหลายบทบาทโดยเฉพาะบทบาทของตัวนาง
2.ลมุล (มุฑุวรรณ์) ยมะคุปต์ เกิดปีมะเส็ง (พ.ศ.2448) แสดงในบทบาทพระเอกคณะ
3.รวี (ไกยานนท์) หม่อมรวี จุฑาธุช ณ อยุธยา ,รวี จาตุรจินดา เกิดปีมะโรง (พ.ศ.2447) แสดงในบทบาทตัวเอกฝ่ายพระ
4.สร้อยทอง (กาญจนลดา) ชื่นศิริ เกิดปีมะโรง (พ.ศ.2447) แสดงในบทบาทของตัวพระ(นายโรงพ่อหรือตัวพระผู้ใหญ่ กษัตริย์หรือเจ้าเมือง และพระรอง) เช่น ท้าวสามล ท้าวพิชัยนุราช(ในเรื่องมณีพิชัย) ท้าวพรหมทัต(ในเรื่องจันทกินรี) ท้าวสันนุราช(ในเรื่องคาวี)
5.จรูญศรี (จรูญ ภาคลักษณ์) ภักดี แสดงในบทบาทของตัวพระ บทที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นพระรอง เช่น พระลักษณ์ สังคามาระตา สินสมุทร
6.อุ่นเรือน ธนูปกรณ์ แสดงในบทบาทของตัวนางเอกของคณะคู่กับพระเอก คือครูลมุล ยมะคุปต์
7.สมบุญ (หม่อมสมบุญ ใน ม.จ.กิตติเดชขจร ศุขสวัสดิ์) แสดงในบทบาทของตัวพระ ตัวเจ๋ง
8.พิศวง
9.ประนอม
10.สงวน โภคานนท์ แสดงบทบาทของตัวนาง
11.เนื่อง พันธ์วณิช แสดงในบทบาทของตัวพระ - ยักษ์
12.พัน เกิดปีมะเส็ง (พ.ศ.2448) มีชื่อเสียงว่า เป็นโขนผู้หญิงตัวหนุมาน ท่านเป็นน้าสาวของครูฉลาด พกุลานนท์ ตัวหนุมานของกรมศิลปากร
13.ม.ล.สุจิต อิศรางกูร เกิดปีมะเส็ง (พ.ศ.2448) แสดงในบทบาทของตัวพระเอก-พระรอง คู่กับหม่อมรวี
14.ทองย้อย (ย้อย จารุนัฎ)
15.ทองหยิบ
16.น้อม ประจายะกฤต์ แสดงในบทบาทตัวพระ ยักษ์ เป็นผู้ที่มีฝีมือมากท่านหนึ่งบทบาทที่เคยแสดงเด่น ได้แก่ รามสูร พิราบ
17.เพราะ สามสูตร (หม่อมเพราะ จักรพันธ์ ณ อยุธยา ใน ม.จ.เวียนขวา จักรพันธ์) แสดงในบทบาทของตัวพระ
18.จวง อุนนานนท์
19.แม้น กรรมากุล
20.ถนอม รอดภัยปวง
รุ่นรองอันดับ4
เป็นผู้ที่เกิดระหว่างปีมะแม-ปีวอก(พ.ศ.2450-2451) เท่าที่คุณครูเฉลยจำได้ คือ
1.ทรัพย์ ธโนภาศ
2.เทียมใหญ่ นวโชติ
3.ปิ่น สุวรรณ์จุฑา แสดงในบทบาทของตัวนาง เคยรับบทเป็นตัวนางลำหับในเรื่องเงาะป่าและนางจันทกินรี ในละครดึกดำบรรพ์ เรื่องจันทกินรี
4.สังวาล จารุจินดา
รุ่นเล็ก
เป็นผู้ที่เกิดหลังปีวอก(พ.ศ.2451) ขณะที่อยู่วังสวนกุหลาบ มีอายุน้อยมาก เป็นละครที่พวกพี่ๆรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง เป็นผู้สอนให้หัดรำแทนครูผู้ใหญ่ เท่าที่คุณครูเฉลยจำได้ คือ
1.เทียมน้อย เชาวลิต
2.อนงค์
3.ปลาบู่
4.เฟื่อง คำเสนาะ
5.ศรี หมู่หงส์ เกิดปีกุน(พ.ศ.2453) ต่อมาเป็นภรรยาของพรานบูรพ์
6.ละม่อม
7.แนบ
8.เล็ก
สถานที่ๆ ใช้ในการฝึกหัดละคร
สถานที่ๆ ใช้ในการฝึกหัดละครในวังสวนกุหลาบ ส่วนใหญ่จะใช้บนเรือนใหญ่ของคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นบ้านเรือนประชาชน ซึ่งเช่าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
วังสวนกุหลาบ ในปัจจุบันตั้งอยู่ริมถนนนครราชสีมากับถนนศรีอยุธยา เป็นวังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานเป็นวังที่ประทับของสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ด้วยแต่เดิมมีแต่เพียงตำหนักชั่วคราวเป็นที่ประทับ อาณาบริเวณวังสวนกุหลาบเดิม เป็นที่ดินผืนเดียวกันทั้งส่วนที่วังสวนกุหลาบเก่า ซึ่งเป็นส่วนบริเวณพระตำหนักไทย โรงละคร เรือนคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ เรือนพระยาจรรยายุตกฤตย์(สวน ไกรฤกษ์) และวังสวนกุหลาบใหม่ ได้แก่ ส่วนบริเวณพระตำหนักตึกและท้องพระโรง ต่อมาเมื่อมีการตัดถนนดวงตะวัน(ปัจจุบัน คือ ถนนนครราชสีมา) ผ่านพื้นที่วังด้านทิศตะวันออก จึงทำให้บริเวณพื้นที่วังแยกเป็น 2 ส่วน
บริเวณวังด้านเหนือ สิ้นสุดลงที่แนวถนนใบพร ปัจจุบันคือ ถนนอู่ทองใน(ถนนนี้แบ่งเขตวังสวนกุหลาบและวังสวนสุนันทา)
บริเวณวังด้านตะวันออก มีถนนดวงตะวัน ปัจจุบัน คือ ถนนนครราชสีมา ตัดผ่านบริเวณส่วนวังเก่าและพระตำหนักตึก
บริเวณวังด้านใต้ สิ้นสุดลงที่แนวถนนศรีอยุธยาปัจจุบัน
บริเวณวังด้านทิศตะวันตก สิ้นสุดที่แนวถนนสามเสน ด้านที่ติดกับหอสมุดแห่งชาติและท่าวาสุกรี
ในบริเวณพระตำหนักไทย ซึ่งเป็นเรือนไทยหมู่ใหญ่ มีนอกชานกว้าง กลางนอกชานมีต้นจันทร์ปลูกแทรกขึ้นมาให้ร่มเงากับบริเวณนอกชาน ปัจจุบันคือที่ตั้งของโรงเรียนราชวินิตประถม สภาพในปัจจุบันยังคงมีเสาหลักเมือง(เสาหลักวัง) ที่มีจารึกไว้ว่า เสาหลักเมืองป้อมประโคนไชยสินธุสมุทรและศาลเจ้าจุก แต่เดิมในสมัยที่ยังคงเป็นวังว่า ศาลเจ้ากวนอู
เรือนคุณท้าวนารีวรคณารักษ์ ซึ่งใช้เป็นที่ซ้อมละคร เรือนข้าหลวง และห้องเครื่อง(ห้องทำอาหาร) ซึ่งอยู่ถัดจากพระคำหนักไทยลงมา ปัจจุบันเป็นเรือนประชาชน ซึ่งเช่าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
เรือนพระยาจรรยายุตกฤตย์ ปัจจุบัน คือ บริเวณสถานที่ตั้งบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตองคมนตรี
โรงละครวังสวนกุหลาบ ซึ่งเป็นเรือนไม้สำหรับแสดงละคร มีที่ประทับทอดพระเนตร ปัจจุบัน คือบริเวณหอประชุมกองทัพบก
ประตูแปดอาวุธ ปัจจุบัน คือ ต้นซอยสามเสน 12 ด้านติดกับถนนนครราชสีมา ซึ่งเดิมเป็นทางเสด็จไปสู่พระตำหนักใหม่(ตำหนักตึก)
ประตูเฮง ปัจจุบัน คือ ปลายซอยสามเสน 12 ด้านติดกับถนนสามเสนด้านตรงข้ามกับหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
ประตูมี ปัจจุบัน คือ บริเวณประตูทางเข้าสโมสรกองทัพบก ด้านถนนศรีอยุธยา(ตรงข้ามกับสมาคมชาวจันทบุรี)
ส่วนบริเวณพระตำหนักใหม่(ตำหนักตึก) และท้องพระโรง ปัจจุบันได้ปรับปรุงขึ้นใหม่อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง
การศึกษาที่วังสวนกุหลาบเป็นการฝึกหัดวิชานาฏศิลป์ควบคู่ไปกับการเรียนวิชาสามัญโดยมีวิชาและตารางการฝึกติดต่อกันไปตลอดทั้งวัน ดังนี้
วิธีการฝึกหัดละครของวังสวนกุหลาบ
วิธีการฝึกหัดละครของวังสวนกุหลาบ จากบทสัมภาษณ์คุณครูลมุล ยมะคุปต์ เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และบทสัมภาษณ์คุณครูเฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร ศิลปินแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้
เวลา 05.00 - 07.00 น. จะได้ยินเสียงสัญญาณกระดิ่งดังขึ้น ทุกคนจะต้องรีบตื่นนอนทำกิจวัตรส่วนตัว แล้วลงมาพร้อมกันที่สนามหญ้าหน้าตำหนัก เพื่อรำเพลงช้า เพลงเร็ว ตามฝ่ายของตน ตัวพระอยู่กลุ่มหนึ่ง ตัวนางอยู่กลุ่มหนึ่ง เมื่อรำเพลงช้า เพลงเร็วจบแล้ว ตัวพระแยกไปเต้นเสา ส่วนตัวนางฝึกหัดรำเพลงเชิดฉิ่ง
เมื่อตัวพระเต้นเสาเสร็จแล้ว ก็แยกไปออกแม่ท่ายักษ์ในเพลงกราวใน พวกตัวนางก็แยกไปออกแม่ท่าลิง ฝึกไปจนถึงเวลา 07.00 น.
การฝึกออกแม่ท่ายักษ์ ลิง เพื่อให้มีความรู้ในท่าโขน จะเห็นได้ว่าคณะละครวังสวนกุหลาบสามารถแสดงโขนที่ใช้ผู้หญิงทั้งโรงได้ แม้ตัวครูลมุลเองก็ยังได้เคยแสดเป็นตัวเอกของโขน เช่น พระมงกุฎ พระลบและอินทรชิต เป็นต้น และการที่ให้ตัวพระไปหัดแม่ท่ายักษ์ เพราะลีลาท่ายักษ์กับพระมีความใกล้เคียงกันมากกว่าฝ่ายอื่น โดยเฉพาะเรื่องเหลี่ยม(ส่วนของขา) และวง(ส่วนของแขนและมือ) เช่นเดียวกับตัวนาง ให้ไปฝึกแม่ท่าลิง เพราะนางกับลิงมีเหลี่ยมขาที่ใกล้เคียงกัน คือต้องลบเหลี่ยม หรือหลบเหลี่ยม หมายถึง เหลี่ยมขาที่ข้างหนึ่งเต็มเหลี่ยม(ตั้งตรงกับพื้น) อีกข้างหนึ่ง พับเข่า หรือหลบเข่าเข้าหาอีกด้านหนึ่ง
07.00 น. หยุดพัก อาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว
08.00 น. รับประทานอาหาร
09.00 น. เริ่มเรียนวิชาสามัญ
การเรียนวิชาสามัญเป็นวิธีการที่ค่อนข้างแปลกใหม่เพราะโดยปกติละครหลวงสมัยโบราณไม่มีการสอนวิชาสามัญ การที่วังสวนกุหลาบให้พวกข้าหลวงที่ถวายตัวเป็นละครได้เรียนวิชาสามัญโดยเฉพาะในเรื่องการอ่าน การเขียน เพราะสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธฯ มีประสงค์จะให้พวกละครมีความรู้ ความสามารถอ่านบท จดบทในการแสดงได้ คุณครูเฉลย ศุขะวณิช ได้เคยกล่าวไว้ในการแสดงปาฐกถาชุดสิรินธร ครั้งที่ 11 ณ หอประชุมสารนิเทศ ห้องประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2538 ว่า
"สองโมงเช้าก็หยุดพักกินอาหาร อาบน้ำอาบท่า ท่านก็มีโรงเรียนให้ในวังเรียนหนังสือ เรียนครูธรรมดาสามัญ แบหนังสือก็เอาไม้ก้านธูปชี้ ต้องการให้อ่านบทละครได้ ถ้าไม่งั้นส่งเจรจามาก็อ่านไม่ออก ก็ให้เรียนหนังสือซะ รู้มากก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขียนเพลงยาว ไม่รู้มาก"
11.30 น. เลิกเรียนวิชาสามัญ
12.00 น. หยุดพักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00-16.00 น. เริ่มซ้อมโขน - ละคร
16.00 - 19.00 น. หยุดพักการซ้อม เป็นเวลาอิสระที่จะได้พักผ่อน อาบน้ำและรับประทานอาหารเย็น
20.00 - 24.00 น. เริ่มซ้อมเฉพาะบท หรือซ้อมเข้าเรื่อง บางครั้งจะเชิญครูผู้ใหญ่ข้างนอกมาควบคุมการฝึกซ้อม
24.00 น. หยุดซ้อมพักรับประทานอาหาร แล้วให้กลับไปอาบน้ำ เข้านอน หมดสิ้นภารกิจในวันนั้น
ช่วงที่3 ชีวิตที่วังเพชรบูรณ์ พ.ศ.2462 - พ.ศ.2466
ถ่ายหน้าเรือนกินนรรำ วังเพชรบูรณ์
แถวบนสุด : แม้น ละเมียด ม.ล.สายหยุด สมบุญ อังกาบ เทียม ทรัพย์ ปิ่น สังวาล
แถวที่ 2 : สร้อยทอง จวง สงวน มณฑา ถนอม เนื่อง รวี จรูญ เหมือน ลมัย
แถวที่ 3 (นั่ง) : น้อม เฉลย(ฮวย) ลมุล หม่อมครูนุ่ม หม่อมครูอึ่ง แม่ครูเวก อุ่นเรือน ย้อย
แถวหน้า (นั่งพื้น) : ลม่อม เล็ก แฉล้ม พิศวง สิน มณี อนงค์ เทียมน้อย แนบ ศรี เฟื่อง ปลาบู่
ปี พ.ศ.2462 ตัวละครวังสวนกุหลาบที่เหลืออยู่ราว 40 คน ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่วังเพชรบูรณ์ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย เนื่องจากเมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแมคคะแลน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายในมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ วันที่ 30 พฤษภาคม 2461 ประทับที่ตำหนักญี่ปุ่น ณ วังพญาไท เพราะเหตุที่ยังไม่มีพระตำหนักที่ประทับถาวร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานส่วนหนึ่งของสวนปทุมวัน ให้สร้างวังที่ประทับ การสร้างแล้วเสร็จในกลางปี 2462 มีงานฉลองวังและฉลองตำหนักประถม ด้วยการแสดงละครในเรื่องอิเหนา(ตอนบวงสรวงสมโภช)
ในระหว่างนั้นสมเด็จฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ยังไม่มีที่พักให้กับพวกข้าหลวงละครเมื่อมีการซ้อมละครเรื่องแรก ณ วังเพชรบูรณ์ คือ ละครดึกดำบรรพ์ เรื่องอิเหนาตอนไหว้พระ จึงได้ขอยืมตัวผู้แสดงจากวังสวนกุหลาบ 7 คน ในบทบาทอิเหนา บุษบา มะเดหวี และสี่พี่เลี้ยง สำหรับการเดินทางไป - กลับ ของคณะละครวังสวนกุหลาบมีรถของวังเพชรบูรณ์คอยรับ - ส่ง
ต่อมาเมื่อพระนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์ในพระองค์ เรื่อง พระยศเกตุ เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีพระประสงค์จะให้ซ้อมละครเรื่องนี้ จึงทรงขอยืมตัวแสดงจากวังสวนกุหลาบเช่นเคย ครั้งนี้ทรงขอผู้แสดง มา 5 คน คือ บทบาทของพระยศเกตุ นางเมธาวดี ทีร์ฆะทรรศิน นิธิทัต และท้าวกุศะนาถ หลังจากซ้อมละครเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำคณะผู้แสดงดังกล่าวส่งกลับวังสวนกุหลาบ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา จึงตรัสกับพระอนุชาว่า จะต้องส่งรถมารับส่งคณะละครบ่อยๆ เช่นนี้จะไม่สะดวก ถ้าต้องการตัวละครจะยกให้ทั้งโรง สมเด็จฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย จึงทรงรับไว้ทั้งหมด
ชีวิตในวังเพชรบูรณ์เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณครูลมุลจากที่เคยอยู่ในวังสวนกุหลาบหลายประการทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ทรงมีพระประสงค์ที่จะให้พวกละครในวังของท่าน มีความรู้ความสามารถที่จะออกไปเป็นแม่บ้านที่ดีบ้าง เพื่อไปประกอบอาชีพส่วนตัวอื่นๆ บ้าง จึงเหลือตัวละครประมาณ 40 คนเท่านั้น ตัวละครที่เหลือทั้งหมด ล้วนแต่ฝีมือ เป็นตัวเอก ตัวรองที่สำคัญ มีอายุราว 14-16 ปี ตัวละครเหล่านี้มี นางสาวลมุล มุฑุวรรณ์ พระเอกของวังสวนกุหลาบรวมอยู่ด้วย
ช่วงปี พ.ศ.2462-2466 ระยะเวลาประมาณ 4 ปี ที่พวกละครวังสวนกุหลาบอยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย เต็มไปด้วยความสุขสบาย ซึ่งขณะนั้น นางสาวลมุล มุฑุวรรณ์ มีอายุประมาณ 20 ปี อยู่ในราวปี พ.ศ.2466 เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ สิ้นพระชนม์ลง (8 กรกฎาคม 2466) ชีวิตของพวกละครที่สุขสบายมาโดยตลอด ก็ต้องแตกกระจายไปคนละทิศคนละทางต่างคนต่างก็แยกย้ายออกจากวังเพชรบูรณ์ กลับไปอยู่กับญาติพี่น้องตามเดิม
ชีวิตของครูลมุลช่วงที่อยู่ในวังเพชรบูรณ์ ได้มีโอกาสแสดงละครประเภทดึกดำบรรพ์มากที่สุด ด้วยสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์ฯ โปรดละครดึกดำบรรพ์มากเป็นพิเศษ โดยแสดงทั้งตามบทพระราชนิพนธ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ 4 เรื่อง ได้แก่
เรื่องอิเหนา ตอนไหว้พระ(เป็นละครดึกดำบรรพ์เรื่อแรกที่ได้แสดง)
เรื่องสังข์ทอง ตอนมณฑาลงกระท่อม
เรื่องคาวี ตอนเผาพระขรรค์
เรื่องรามเกียรติ์ ตอนศูรปนขาขึ้นหึง
นอกจากนั้น ยังได้แสดงตามเรื่องที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนฯ ทรงนิพนธ์ขึ้นใหม่อีก 3 เรื่อง ได้แก่
เรื่องจันทกินรี ได้หลายครั้ง
เรื่องสองกรวิก ได้แสดง 2 ครั้ง
เรื่องพระยศเกตุ ได้ซ้อมหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยออกแสดง
สิ่งที่ปรากฎขึ้นใหม่ที่ครูลมุล ได้รับในขณะที่อยู่วังเพชรบูรณ์ได้แก่
1.เรียนรู้การเป็นหัวหน้า ผู้ควบคุม และการฝึกทักษะการแสดงละครดึกดำบรรพ์
2.เรียนรู้วิธีการสอน นอกเหนือจากการที่เคยเป็นผู้รับการถ่ายทอดจากครู
3.เรียนรู้การฝีมือ การตัดเย็บเสื้อผ้า อันนำมาถึงเรื่องการสร้างเครื่องและแต่งเครื่องในการแสดง
4.เรียนรู้การทำอาหารคาว - หวาน
นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ถึงวิธีการแสดงกลางแจ้ง การปรับปรุงเครื่องแต่งกาย การแต่งหน้าแบบสมัยใหม่ ตามแบบอย่างต่างประเทศที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนฯ ทรงศึกษามาจากประเทศอังกฤษ เช่นกาแต่งหน้าให้สมบทบาท แต่ไม่ทิ้งรูปแบบละครไทย
ประสบการณ์ที่ได้รับจากวังเพชรบูรณ์ กล่าวไดว่าเป็นองค์ประกอบที่มีส่วนสร้างความเป็นอัจฉริยะให้กับคุณครูลมุลในกาลต่อมา การที่ฝึกการขับร้อง ร่ายรำในการแสดงละครดึกดำบรรพ์ ผู้แสดงจะต้องมีความรู้รอบด้าน คือ ทั้งร้อง รำ และดนตรี เห็นได้จากสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์ อินทราชัย โปรดฯ ให้หัดตีฆ้องวง เพื่อให้ผู้แสดงรู้ทำนองดนตรีและจังหวะหน้าทับต่างๆ เพราะละครดึกดำบรรพ์ของพระองค์ เน้นการรำที่งดงาม การขับร้องที่สอดประสานโดยมีหม่อมครูมาลัย ซึ่งเป็นครูผู้เชี่ยวชาญการขับร้องเป็นผู้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ การที่ผู้แสดงสามารถร้อง และทำเพลงได้นี้เป็นการสร้างความสามารถให้ขึ้นอยู่ในชั้นสูงถึงระดับอัจฉริยะได้ ดังเช่นคุณครูลมุล
ช่วงที่4 ชีวิตสมรส พ.ศ.2468 - พ.ศ.2476
เมื่อคุณครูลมุลออกจากวังเพชรบูรณ์ได้ไม่นานก็สมรสกับครูสงัด ยมะคุปต์ เมื่อ พ.ศ.2468 ขณะนั้นคุณครูลมุลอายุได้ 20 ปี คุณครูสงัดอายุได้ 28 ปี ทั้งสองท่านรักใคร่กันตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่วังสวนกุหลาบเนื่องจากคุณครูสงัด เป็นผู้หนึ่งที่ถวายตัวเป็นมหาดเล็กฝึกหัดดนตรีปี่พาทย์อยู่ในวังสวนกุหลาบยุคเดียวกับคุณครูลมุล คุณครูสงัด เป็นผู้มีความสามารถเป็นอย่างยิ่งในเรื่องปี่พาทย์และมีความสามารถพิเศษในการขับเสภา เพราะมีเชื้อสายมาจากพระแสนท้องฟ้า(ป่อง) ผู้ขับเสภาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์(ช่วง บุนนาค) ซึ่งเป็นนักขับเสภาที่มีชื่อเสียงมากในรัชสมัยสมเด็จพระปิยมหาราช คุณครูสงัด ยมะคุปต์ เป็นนักดนตรีประจำวงวังสวนกุหลาบ ซึ่งมีนักร้องและนักดนตรีดังนี้
นักร้องประจำวงสวนกุหลาบ ในการร้องประกอบการแสดงละครมีอยู่ 2 ท่าน คือ
คุณสอน เป็นต้นเสียง(คุณท้าวนารีวรคณารักษ์ ยกย่องเป็นบุตรบุญธรรม)
คุณสำเนียง เป็นต้นเหตุ
นักดนตรีประจำวงสวนกุหลาบ
นายแย้ม (ระนาดเอก)
นายสงัด ยมะคุปต์
นายปลั่ง วรรณเขจร (ซอ)
ทั้งนี้อยู่ในความกำกับควบคุมของพระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์) และหลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)
คุณครูลมุล และครูสงัด มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 13 คน
ชีวิตสมรสของคุณครูลมุล ในช่วงแรกค่อนข้างลำบากยากแค้นและมีอุปสรรคมากมาย จากที่เคยอยู่อย่างสุขสบายในรั้วในวัง กลับต้องทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะงานในบ้าน คือสภาพการเป็นแม่บ้านและแม่ลูกอ่อนและงานนอกบ้าน คือต้องติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่ง โดยยึดอาชีพการเป็นทั้งครูฝึกสอนและเป็นผู้แสดงเอง
ไปอยู่เชียงใหม่ พ.ศ.2468 - พ.ศ.2475
คุณครูลมุล ได้มีโอกาสติดตามสามีขึ้นไปเชียงใหม่ ซึ่งในครั้งนั้นเจ้าแก้วนวรัฐผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 9 (ในช่วงปี พ.ศ.2454 - 2482) มีพระประสงค์ที่จะหาครูปี่พาทย์ขึ้นไปปรับปรุงวงดนตรี หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) จึงได้แนะนำคุณครูสงัด ยมะคุปต์ ผู้มีฝีมือและมีความสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีได้ทุกชิ้น ให้ขึ้นไปเป็นครูดนตรีที่เชียงใหม่และยังได้รับพระกรุณาจากเจ้าแก้วนวรัฐและพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ให้คุณครูลมุลเป็นครูสอนนาฏศิลป์ขณะอยู่ที่คุ้มเจ้าหลวง
สาเหตุที่คุณครูลมุล ได้รับพระกรุณาจากเจ้าแก้วนวรัฐ และพระราชชายาเจ้าดารารัศมีให้เป็นครูผู้สอนนาฏศิลป์ที่คุ้มเจ้าหลวง น่าจะเป็นเพราะพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงทราบว่าคุณครูลมุลเคยเป็นละครตัวเอกถึง 2 วังจากกรุงเทพฯ คือวังสวนกุหลาบและวังเพชรบูรณ์ ทั้งยังคงทรงทราบถึงความสามารถและฝีมือของตัวละครของทั้งสองวังเป็นอย่างดี เพราะเคยทรงประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวังถึง 28 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2429 จนถึงปี พ.ศ.2475
คุณครูลมุล และคุณครูสงัด ยมะคุปต์ ได้ช่วยกันทำงานอย่างต่อเนื่องและประสานงานกันเป็นอย่างดี คือคุณครูสงัด จะเป็นฝ่ายปรับปรุงวงดนตรีปี่พาทย์ ส่วนคุณครูลมุล ก็ได้ปรับปรุงท่ารำต่างๆ มากมายตามความสามารถและความรู้ที่ได้รับมาทั้งของวังสวนกุหลาบและวังเพชรบูรณ์ ในขณะเดียวกัน คุณครูสงัดก็ได้จดจำการบรรเลงเพลงพื้นเมืองของภาคเหนือ ส่วนคุณครูลมุลก็จดจำการแสดงของภาคเหนือชุดต่างๆ เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นต้น และผลงานที่ทำให้คุณครูลมุลภาคภูมิใจขณะใช้ชีวิตเป็นสอนอยู่ที่เชียงใหม่อีกอย่างหนึ่งก็คือ การได้รับความไว้วางพระทัยจากพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มอบหมายให้คุณครูลมุลฝึกซ้อมฟ้อนเทียนลอดใต้ท้องช้างและฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ให้กับเจ้านายฝ่ายเหนือในการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ เมื่อคราวเสด็จเยือนเชียงใหม่ ปี พ.ศ.2469
การไปใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณครูลมุลในช่วงนี้คือ เมื่อคุณครูลมุลติดตามคุณครูสงัดขึ้นไปเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2468 หลังจากสมรสได้ไม่นาน โดยคุณครูสงัดได้เป็นครูสอนและปรับปรุงวงปี่พาทย์ให้มีความรู้ทางดุริยางค์ไทย และเครื่องสายไทยภาคกลาง คุณครูลมุลก็ได้เป็นครูสอนบรรดาข้าราชสำนักซึ่งเป็นเจ้านายทางเหนือให้มีความรู้ความชำนาญในนาฏศิลป์ไทยของภาคกลางและในทางตรงกันข้าม คุณครูลมุลก็ได้เรียนนาฏศิลป์ของภาคเหนือหลายอย่าง อาทิ ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้นซึ่งชุดการแสดงพื้นเมืองต่างๆ เหล่านี้เป็นชุดที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นผู้ทรงคิดและปรับปรุงขึ้นจากการฟ้อนของไทยทางภาคเหนือแต่โบราณ ผสมผสานกับท่านาฏศิลปจากราชสำนักพม่า ที่มีอิทธิพลทางขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมอยู่ในอาณาจักรล้านช้างเป็นเวงากว่า200ปี ก่อนที่อาณาจักรล้านช้างจะเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อไทย
การไปอยู่เชียงใหม่ในครั้งนั้น คุณครูลมุล น่าจะได้เรียนรูนาฏศิลป์ไว้ถึง 3 รูปแบบ คือ
1.นาฏศิลป์จากราชสำนักพม่า ที่เข้ามาในเชียงใหม่
2.นาฏศิลป์ล้านนา
3.นาฏศิลป์ของชนพื้นเมืองทางภาคเหนือ(เงี้ยว)
ทั้งคุณครูลมุล และคุณครูสงัด ยมะคุปต์ อยู่ที่เชียงใหม่ได้ประมาณ 3-4 ปี ก็กลับมาอยู่กรุงเทพมหานครที่บ้านพักตามเดิม
ไปอยู่เมืองพระตะบอง ประเทศเขมร พ.ศ.2474 - 2475
ต่อมาไม่นานคุณเกตมวดี ซึ่งเป็นอดีตละครหลวงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ติดต่อให้ไปช่วยทำงานการละครที่ประเทศเขมร ประมาณ ปี พ.ศ.2475 ครูทั้งสองท่านก็อพยพครอบครัวย้ายไปอยู่ที่ประเทศเขมร คุณครูสงัดไปเป็นครูสอนปี่พาทย์วงนายขาว ส่วนคุณครูลมุลนั้นปฏิบัติหลายหน้าที่ คือ เป็นหัวหน้าคณะละครที่ไปแสดงด้วยในคราวนั้นและเป็นผู้แสดงเอง
กล่าวกันว่าไปเขมรของคุณครูลมุลในครั้งนั้น "เป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุณครูลมุลไม่เคยลืมเลือน" จากข้อความประโยคนี้ น่าจะทำให้นึกถึงสภาพชีวิตของคณะละครกับวงปี่พาทย์รับจ้าง หรือคณะละครเร่ลักษณะหนึ่งที่รับจ้างแสดงเพื่อแลกกับเงินในการใช้จ่ายประทังชีวิตในถิ่นที่ตัวเองไม่คุ้นเคยมีเพียงฝีมือในการแสดงละครและเล่นดนตรีปี่พาทย์ติดตัวไปเท่านั้น ทำให้เกิดการประยุกต์การพลิกแพลงและการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดด้วยวิชานาฏศิลป์และดนตรีของทางประเทศไทย พร้อมๆกับชาวคณะละครที่เป็นลูกทีม ซึ่งบางวันก็อาจจะมีคนเจ็บ คนป่วย ไม่สามารถจะแสดงได้หัวหน้าคณะคือคุณครูลมุลก็ต้องลงแสดงเอง ในขณะเดียวกันคุณครูลมุลก็น่าจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงและท่ารำนาฏศิลป์ของเขมรไว้เช่นเดียวกัน คุณครูทั้งสองท่าน(คุณครูลมุลและคุณครูสงัด) ใช้ชีวิตอย่างอดทนอยู่ที่เขมรเพียง 1 ปี ในปี พ.ศ.2475 ก็อพยพครอบครัวกลับกรุงเทพมหานคร
การไปอยู่เขมรและต้องไปมีอาชีพของคุณครูลมุล ต้องเร่รับจ้างแสดงละครเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้มองเห็นบุคลิกที่เกิดขึ้นในตัวคุณครูลมุลถึง 5 ประการ คือ
1.ความอดทน
2.มีฝีมือทั้งรำและร้องเองได้
3.มีการพลิกแพลงและประยุกต์วิชาความรู้เดิมขึ้นมาใช้
4.มีความคิดในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้รวดเร็ว
5.มีความเฉียบขาดและเข้มงวด เพราะต้องปกครองคนเป็นหมู่คณะ
6.ในทางนาฏศิลป์ สิ่งที่ครูลมุลได้กลับมาคือน่าจะได้รู้ได้เห็นเพลงดนตรีและนาฏศิลป์พื้นบ้านทางเขมรมาบ้าง
กลับกรุงเทพฯ พ.ศ.2476
ต่อมาปี พ.ศ.2476 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงเปิดโรงภาพยนต์เฉลิมกรุง ได้มีพระราชโทรเลขไปยังเชียงใหม่ถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ขอครูฟ้อนและครูปี่พาทย์ ให้มาหัดละครและปี่พาทย์หลวงให้เป็นแบบล้านนามาแสดงเบิกโรง ด้วยทรงพอพระทัยอย่างยิ่งที่ทางเชียงใหม่จัดการรับเสด็จให้ในครั้งที่เสด็จเยือนเชียงใหม่พร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเมื่อปี พ.ศ.2469 แต่ทางพระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้กราบถวายบังคมทูลตอบพระราชโทรเลขกลับมาว่า ครูที่ฝึกซ้อมดนตรีในครั้งนั้น คือ ครูสงัด ยมะคุปต์ ส่วนครูที่ฝึกซ้อมละครคือครูลมุล ยมะคุปต์และทั้งสองท่านได้กลับลงมาอยู่ที่กรุงเทพมหานครแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าอยู่หัวจึงมีพระกระแสรับสั่งให้เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์(ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงวังในขณะนั้น บอกให้พระยานัฏกานุรักษ์ ตามครูทั้งสองให้ไปหัดฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ฟ้อนเมือง ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ถวายตามพระราชประสงค์ นับว่าเป็นการฟ้อนครั้งแรกที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร โดยคุณครูลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้เป็นคน
ช่วงที่5 รับราชการที่กรมศิลปากร พ.ศ.2477-พ.ศ.2525
อดีตอธิบดีกรมศิลปากร
ผู้ก่อตั้งโรงเรียนวิทลัยนาฏศิลป์ขึ้น
ปี พ.ศ.2477 พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิบดีคนแรกของกรมศิลปากรในขณะนั้น ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้น (ปัจจุบันคือวิทลัยนาฏศิลป์) ต้องการครูที่จะสอนนาฏศิลป์ตัวพระ สำหรับครูฝ่ายตัวนางนั้นมีอยู่แล้ว คือ หม่อมต่วน ภัทรนาวิก(นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก) ผู้มีความเชี่ยวชาญในการแสดงละครดึกดำบรรพ์และเป็นตัวละครตัวหนึ่งในบ้านเจ้าพระยาเทเวศรวงศวิวัฒน์(ม.ร.ว.หลาน กุญชร) หลวงวิจิตรวาทการจึงปรึกษากับพระยานัฏกานุรักษ์ เรื่องการหาครูสอนละคร พระยานัฏกานุรักษ์จึงแนะนำให้ตามครูลมุล ยมะคุปต์ ไปเป็นครูสอนละครตัวพระของโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ โดยพลตรีหลวงวิจิตรวาทการได้มอบหมายให้คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง เป็นผู้ไปติดต่อครูลมุล นับว่าเป็นก้าวแรกในชีวิตการรับราชการของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ต่อจากนั้นท่านก็ได้ร่วมวางหลักสูตรทางด้านนาฏศิลป์ เมื่อเริ่มก่อตั้งโรงเรียนขึ้น
หน้าที่ที่ได้รับมอบขณะที่รับราชกานในกรมศิลปากรนั้นกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่นำความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับมา นำมาใช้ในการปฏิบัติราชการ เช่น นำความรู้ทางด้านนาฏศิลป์ทั้งการเรียน การสอน วิธีการถ่ายทอดตามจารีตแบบแผนละครหลวง มาใช้ในการวางหลักสูตร ได้แก่
1.วิธีคัดเลือกผู้เรียนนาฏศิลป์
-ความรู้เรื่องโครงสร้าง สรีระของผู้ที่จะเข้ารับการฝึก
-ความรู้ในจิตวิทยาการเรียนการสอน เพื่อจะโน้มน้าวให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ด้วยเหตุที่ขณะเรียนผู้เรียนจะต้องมีความอดทนต่อความยากลำบาก ถ้าครูผู้สอนไม่สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้เรียนเกิดความมานะก็มิอาจเรียนได้สำเร็จ
2.ขั้นตอนการถ่ายทอด
-การฝึกหัดให้รู้จัก จังหวะ เช่น การตบเข่า
-การฝึกหัดให้รู้จัก การเคลื่อนไหวลำตัว คอใบหน้า เช่น การถองสะเอว
-การฝึกหัดการทรงตัว การดัดอวัยวะต่างๆ เช่นการนั่ง ยืน กระดกเท้าแบบต่างๆ การเต้นเสา เพื่อให้มีกำลังขาแข็งแรง
-การฝึกหัดตามลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เช่น การฝึกหัดเพลงช้า เพลงเร็ว การฝึกหัดอิริยาบท เดิน คลาน หมอบกราบ ถวายบังคมฯ การฝึกหัดหน้าพาทย์จากเบื้องต้น ไปถึงหน้าพาทย์ชั้นสูง การฝึกหัดการตีบท รำประกอบบทกับเพลงต่างๆ การฝึกหัดบทบาทเฉพาะตัว การฝึกหัดกระบวนท่ารำ ชั้นสูง
-ฝึกหัดและปฏิบัติการแสดงทั้งระบำ รำ ละคร ในแบบต่างๆ รวมทั้งการแสดงพื้นเมือง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นขั้นตอนที่คุณครูลมุลมีส่วนในการวางหลักสูตรและลงมือปฏิบัติร่วมกับคุณครูท่านอื่นๆ จนได้สร้างเกียรติยศและชื่อเสียงให้สถาบัน "กรมศิลปากร" ตลอดเวลาการรับราชการที่ยาวนานตั้งแต่ ปี พ.ศ.2477 ถึง พ.ศ.2526 รวมเวลาทั้งสิ้น 49 ปี คุณครูได้สร้างศิษย์นาฏศิลป์ ให้เกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนวิชานาฏศิลป์ล้วนแต่ได้รับอานิสงส์ จากอัจฉริยภาพ ความรู้ ความสามารถ และผลงานของคุณครูลมุลทั้งสิ้น
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด "ละครกรมศิลป์" เป็นที่เลื่องลือในขณะนั้นก็เพราะส่วนหนึ่งของผลงานการคิดค้นของคุณครูลมุล ซึ่งสามารถรักษาแบบแผนของโบราณไว้ได้ สามารถคิดค้นแบบแผนการแสดงขึ้นมาใหม่ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น ซึ่งรัฐบาลโดยการนำของ พณฯ จอมพล ป.พิบูลย์สงคราม ได้มอบหมายให้ พณฯ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ใช้แสดงนาฏศิลป์ เป็นอุปกรณ์ในการสร้างชาติความภาคภูมิใจในความรักชาติ คุณครูลมุลสามารถตอบสนองได้ โดยการสร้างสรรค์ระบำปลุกใจชุดต่างๆ ขึ้นมามากมาย อนึ่งเมื่อถึงยุคของการฟื้นฟูอนุรักษ์ตามแบบแผนจารีตกรมมหรสพในรัชกาลที่6 คุณครูลมุล ได้มีส่วนร่วมสำคัญ โดยเห็นได้จากผลงานการแสดงของกรมศิลปากร ในยุคสมัยของนายธนิต อยู่โพธิ์ และที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากความรู้ความสามารถอันอัจฉริยะของท่านแล้ว คุณครูลมุล ได้ถ่ายถอดคุณธรรม โดยเฉพาะเรื่องความกตัญญูต่อครูอาจารย์ โดยท่านปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างทั้งพร่ำบอกให้กับศิษย์ทุกๆ คน ก็เพื่อหวังไว้ว่าศิษย์ทุกคนของท่าน จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้คู่คุณธรรม
จากการศึกษาวิเคราะห์ประวัติและผลงานทั้งด้านการแสดง การสอน การคิดค้น รูปแบบนาฏศิลป์ต่างๆ สามารถสรุปให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะของท่านได้ว่า
คุณครูลมุล เป็นบุคคลที่มีความสามารถและมีพรสวรรค์ ฉายแววแห่งความเป็นศิลปิน ดังนั้น ทั้งคุณพ่อคุณแม่จึงให้กาาสนับสนุน นำมาถวายตัวเป็นละครในสำนักวังสวนกุหลาบ ตั้งแต่อายุได้เพียง 5 ปี และการที่ได้ศึกษาในสถาบันทางนาฏศิลป์ แห่งนี้ ซึ่งเป็นที่รวมของครูอาจารย์ที่มีฝีมือเป็นเยี่ยมในบทบาทต่างๆ อาทิ หม่อมครูอึ่ง หม่อมครูนุ่ม หม่อมครูแย้ม ครูท่านเหล่านี้ล้วนจัดเจนในกระบวนรำ จึงเป็นผู้ปูพื้นฐานให้กับคุณครูลมุลอย่างแน่นหนาเปรียบเสมือนการวางรากฐานก่อสร้างและการที่คุณครูลมุล มีแววแห่งศิลปินเอก และมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้ท่านได้ฉายแววความโดดเด่นให้ปรากฏต่อคุณครูและเจ้านาย ดังนั้น เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา มีพระประสงค์จะจัดแสดงละครเรื่องตอนใด ก็โปรดฯ ให้เชิญคุณครูที่เคยรับบทนั้นๆ จนมีชื่อเสียงเข้ามาสอนให้เฉพาะตัว เช่น เมื่อจะแสดงละครเรื่องอิเหนา ตอน ฉายกริช เข้าเฝ้า ก็โปรดฯ ให้เชิญท้าววรจันทร์(เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่4) หรือวาด อิเหนา เข้ามาถ่ายทอดกระบวนท่ารำให้คุณครูลมุล หรือเมื่อต้องการชุดเบิกโรงละครหลวง ชุดเบิกโรงกิ่งไม้เงินทอง ทั้งพระและนาง ซึ่งเป็นของละครหลวงในรัชกาลที่4 โดยเฉพาะ มิได้แพร่หลายมายังคณะละครอื่นใด ก็โปรดฯ ให้เชิญเจ้าจอมมารดาสาย เจ้าจอมมารดาละม้าย ในรัชกาลที่5 ให้มาถ่ายทอด นับได้ว่าระยะที่ท่านถวายตัวเป็นละครอยู่นี้ เป็นการสั่งสมประสบการณ์ความสามารถอย่างเต็มเปี่ยม การที่ได้รับคัดเลือกเป็นตัวเอกในการแสดงทุกครั้งทุกเรื่อง ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า คุณครูลมุล เป็นผู้ที่มีอัจฉริยภาพอย่างแท้จริง
เมื่อสิ้นสุดการถวายตัวเป็นละครทั้งสองวังดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ต่อมาคุณครูลมุลได้ออกไปประกอบอาชีพนักแสดงร่วมกับสามี คือ นายสงัด ยมะคุปต์ ซึ่งเป็นนักดนตรีฝีมือเยี่ยม การขึ้นไปเป็นครู ในคุ้มเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ ทำให้คุณครู มีประสบการณ์ทางด้านนาฏศิลป์ล้านนาและพม่าติดตัวกลับมาและเมื่อควบคุมคณะละครของตนไปประเทศกัมพูชา คุณครูได้ใช้ความสามารถในการแก้ไขสภาวการณ์ต่างๆให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ท่านเคยเล่าว่า การมีชีวิตละครเร่ไปหากินต่างบ้านต่างเมือง ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนความคิดอะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำให้ได้ โดยเฉพาะการสร้างชุดการแสดงให้เป็นไปตามประสงค์ของผู้ว่าจ้าง ครั้งหนึ่งผู้ว่าจ้างต้องการให้มีการแสดงระบำฝรั่ง(ระบำแคนแคน) ท่านก็คิดท่าระบำขึ้นใหม่ โดยใช้ท่าระบำแคนแคน เต้นขยับกระโปรง ให้กับทำนองเพลงฝรั่งแบบไทย ผนวกกับท่าทางฝรั่งในละครพันทาง ทำให้ระบำชุดนี้สำเร็จขึ้นด้วยดี ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าคุณครูลมุล ท่านมีความคิดที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพในการประยุกต์ความรู้เดิมให้เหมาะสมกับ สภาวการณ์ปัจจุบันได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อท่านเข้ามารับราชการในโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ ปี พ.ศ.2477 อันเป็นปีที่เริ่มต้นการวางรากฐานวิชานาฏศิลป์ให้เป็นระบบ ท่านได้นำประสบการณ์ การเรียน การสอนที่เคยได้รับจากหม่อมครู คุณครู นำมากำหนดเป็นหลักสูตร นอกเหนือจากหน้าที่ในการสอนแล้ว การฟื้นฟูการแสดงทั้งรูปแบบราชสำนักและรูปแบบพื้นเมือง ท่านก็ได้นำความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ที่ยาวนาน มาใช้ในการสรรค์สร้างผลงานให้กับ "ละครกรมศิลป์" มากมายตลอดระยะเวลา49ปี การที่คุณครูลมุลมีโอกาสติดตามควบคุมคณะนาฏศิลป์ไทย ไปเผยแพร่ต่างประเทศ ท่านก็แสดงอัจฉริยภาพให้ปรากฏเป็นเกียรติแก่คณะนาฏศิลป์ไทย และประเทศไทย อาทิ เมื่อไปเผยแพร่นาฏศิลป์ ในประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ.2498 คณะนาฏศิลป์ได้จัดชุดการแสดง "พม่าไทยอธิษฐาน" อันเป็นชุดที่สร้างสัมพันธไมตรี คุณครูลมุลท่านได้ฝึกซ้อมท่ารำไว้ก่อนแล้ว เมื่อถึงประเทศพม่า ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยรท่ารำระหว่างคณะศิลปินทั้งสองประเทศ คุณครูลมุลก็ร่วมออกร่ายรำด้วย จากนั้นท่านก็จดจำท่ารำพม่าแท้ๆ เข้ามาปรับปรุงระบำชุดพม่าไทยอธิษฐานใหงดงามเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่ศิลปินชาวพม่าและคณะนาฏศิลป์ไทยในครั้งนั้น ในปี พ.ศ.2500 เมื่อท่านได้มีโอกาสนำคณะนาฏศิลป์ไทยไปประเทศลาว ท่านก็คิดระบำลาวไทยปณิธาน โดยใช้ท่าลาวในละครพันทางเป็นพื้นฐานปรับเข้ากับท่ารำของลาวสอดประสานเพลงดนตรีที่คุณครูมนตรี ตราโมท ประพันธ์ขึ้นใหม่ เป็นระบำลาวไทยปณิธานที่งดงามไม่น้อยกว่าชุดใดใดที่ผ่านมา
คุณครูลมุล ได้รับการคัดเลือกหัดเป็นตัวพระ ตั้งแต่เริ่มฝึกหัด โดยมีครูที่สอนประจำ คือ หม่อมครูอึ่ง หสิตะเสน(พระ) หม่อมครูแย้ม(พระ) หม่อมครูนุ่ม(นาง) และแม่ครูหงิม เป็นผู้ถ่ายทอดบทบาทการแสดงทุกประเภทและด้วยความสามารถอันโดดเด่น ท่านจึงได้รับเลือกให้รับบทตัวละครเอกละครประเภทต่างๆ มาโดยตลอดทุกเรื่อง นอกจากนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ได้เชิญครูที่เคยรับบทบาทเด่นๆ ซึ่งเป็นตัวละครหลวงในรัชกาลที่4 และที่5 เช่น คุณท้าววรจันทรฯ(เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่4) ซึ่งเคยรับบทเป็นอิเหนา มีชื่อเสียงมาก กล่าวหันว่าไม่มีใครสู้ได้และเจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่4 ซึ่งขึ้นชื่อในบทบาทอิเหนา สังคามาระตา และและเป็นผู้คิดท่ารำในละครพันทางเรื่องพระลอ ซึ่งเป็นที่โปรดปรานในรัชกาลที่5 เป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดให้ใช้คำว่า "หลวง" นำหน้าชื่อคณะละครของท่านว่า "ละครหลวงนฤมิต" นอกจากนี้ยังได้เชิญ เจ้าจอมมารดาทับทิม เจ้าจอมมารดาสายและเจ้าจอมมารดาละม้ายในรัชกาลที่5 ให้มาถ่ายทอดบทบาทท่ารำสำคัญของละครหลวงให้กับคุณครูลมุลและเมื่อถึงคราวที่จะแสดงโขนผู้หญิง ได้เชิญ พระยานัฏกานุรักษ์ คุณหญิงนัฏกานุรักษ์ และครูแผนเข้ามาช่วยหัดโขนให้อีกด้วย
จากประวัติการศึกษานาฏศิลป์และบทบาทที่คุณครูลมุลได้รับขณะที่อยู่ในวังสวนกุหลาบนี้ย่อมแสดงถึงอัจฉริยภาพของคุณครูอย่างแท้จริง ความสามารถในการร่ายรำเป็นที่พอใจของท่านครูเป็นอย่างยิ่ง คุณครูได้รับความเมตตาจากท่านครู ท่านครูจะขนานนามท่านว่า "เด็กลมุล" ท่านครูจะถ่ายทอดท่ารำอะไรให้จะนึกถึงเด็กลมุลก่อนทุกครั้ง ประกอบกับคุณครูลมุล มีความจำที่ดีมาก จำได้รวดเร็วและสามารถแยกแยะรายละเอียดท่าทีของท่านครูไว้ได้ครบถ้วน ท่านจึงได้คัดเลือกให้เป็นตัวเอกในคณะละครวังสวนกุหลาบทุกครั้ง
การที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวเอก เป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่ท่านจะได้ฝึกทักษะการแสดง จึงมีผลดีส่งลงมาเมื่อมาเป็นครูในกรมศิลปากร ดังสำนวนที่ว่า "รำได้ทุกบทบาท ทุกตัว"
อัจฉริยภาพของคุณครูลมุล มิใช่เพียงงานอนุรักษ์แบบเก่าหรืองานพัฒนาขึ้นใหม่เท่านั้น หลายชุดเป็นความคิดที่กลั่นกรองมาจากความอัจฉริยะของท่านอย่างเต็มที่ นายธนิต อยู่โพธิ์ ได้เขียนคำไว้อาลัย ในงานพระราชทานเพลิงศพของคุณครูลมุล เกี่ยวกับการคิดท่าระบำในโบราณคดี ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดความเป็นอัจฉริยะในการคิดท่ารำของท่านว่า
"วิธีจัดลีลาท่านาฏศิลป์ ได้นำเอารูปถ่ายท่ารำจากโบราณวัตถุสถาน ซึ่งเป็นท่าตายไม่เคลื่อนไหวแต่ละชุดมาให้ครูลมุลตรวจดูและแสดงออกเป็นท่าตายก่อนแล้วครูก็ให้ท่าเคลื่อนย้ายไปตามจังหวะดนตรีซึ่งควรจะมีลีลาท่าย้ายเชื่อมท่าทั้งข้อมือ เท้าลำตัวและศีรษะใบหน้าอย่างไร แล้วช่วยกันติช่วยกันแก้แล้วแก้เล่า จนเกิดเป็นระบำชุดโบราณคดี มาแต่ปี พ.ศ.2510
ระบำโบราณคดี ชุดทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เป็นความคิดและผลงานส่วนใหญ่ของท่าน โดยมีคุณครูเฉลยเป็นหลัก ระบำโบราณคดีดังกล่าวงดงามเพียงใดนั้น ได้แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพแล้ว ของคุณครูลมุล ยมะตุปต์ ครูนาฏศิลป์ผู้ยิ่งใหญ่
ที่มา : หนังสือลมุล ยมะคุปต์ คณานุสรณ์ครบรอบ 100 ปี

















ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น