เรื่องเล่าของ ลมุล มยะคุปต์ จากนางละครในวังสวนกุหลาบสู่ครูนาฏศิลป์ผู้ยิ่งใหญ่กรมศิลปากร
เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าในวัยเด็กจนถึงวัยสาวของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ที่ได้เติบโตมาในวังสวนกุหลาบ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา โดยคุณครูลมุล ได้ร่ำเรียนวิชาพื้นฐานสามัญ และวิชานาฏศิลป์ที่เข้มข้น จากครูอาจารย์โขนละครในราชสำนักไทยที่นี่ จนภายหลังได้มาเป็นผู้วางรากฐานวิชาการสอนนาฏศิลป์ไทยให้กับโรงเรียนวิทลัยนาฏศิลป์ และหลักสูตรการสอนนาฏศิลป์ของโรงเรียนในประเทศ
โดยเรื่องเล่านี้มาจากบันทึกของคุณครูอุดม อังศุธร อาจารย์สอนโขนพระจากโรงเรียนวิทลัยนาฏศิลป์(กรุงเทพ) ผู้เป็นศิษย์เอกของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้บันทึกไว้
ครูลมุล ยมะคุปต์เล่าว่า ในวัยเด็กท่านเข้าไปสมัครเป็นละครในวังสวนกุหลาบของสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ครูเล่าว่า พระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ก่อนที่จะเสด็จไปศึกษาต่อต่างประเทศ ได้รับสั่งขอร้องเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ ให้ช่วยประกาศหาครูละครให้สัก 2-3 คน พอพวกชาวบ้านทราบข่าวก็พาลูกหลานมาสมัครเป็นละครมากมาย ทูลกระหม่อมอัษฎางเดชาวุธ ทรงทราบว่าจะทรงทำประการใดจึงทรงรับไว้ แล้วนำทูลเกล้าฯ ถวายตัวต่อพระพันปีหลวง สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ
ในรัชกาลที่ 5 ครูลมุลจึงเริ่มหัดละครตั้งแต่นั้นมา และครูลมุลได้อยู่ในความดูแลของคุณท้าววรคณานันท์ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธ
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ครูลมุลเล่าว่า ทุกๆวัน ท่านต้องตื่นนอนก่อนตีห้า เพราะพอตีห้าก็เริ่มเรียน เพลงช้า - เพลงเร็ว แล้วท่านก็เล่าถึงวัยเด็กของท่านด้วยสายตาและน้ำเสียงที่รื่นรมย์ ท่านบอกว่า ตรงที่ท่านฝึกรำจะมีอ่างบัวอยู่ ท่านก็จะเลือกที่ใกล้ๆ อ่างบัว พอครูเผลอ ท่านก็จะแอบวักน้ำในอ่างบัวมาพรมที่หน้า และตามตัว ประหนึ่งว่าท่านตั้งใจรำจนเหงื่อออกมากมาย ฟังแล้วเหมือน ท่านบอกว่า ในวัยเด็กท่านก็เหมือนเด็กทั่วๆ ไป(เด็กฉลาด) ท่านบอกยิ้มๆ ว่าตบตาครู ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนว่า ครูลมุลกำลังบอกว่า เธออย่ามาตบตาฉัน ฉันรู้ทันนะ ด้วยเหตุนี้ ครูจึงสอนลูกศิษย์ที่มีความสามารถและสรีระแตกต่างกันให้รำได้อย่างสวยงามตามศักยภาพของแต่ละคน
ในสมัยนั้น ครูพระที่สอนประจำมี หม่อมครูยิ่ง ครูนาง คือ หม่อมครูแดง เวลารำเพลงช้า - เพลงเร็วจบ ก็ต้องไปเต้นเสา พระแยกไปหัดยักษ์ ส่วนนางแยกไปหัดลิง แม่ลมุลเล่าว่าท่านไปหัดยักษ์กับพระยาพรหมาภิบาล(ทองใบ สุวรรณภารต) ท่านได้รับเลือกให้แสดงเป็นตัวอินทรชิตและรามสูร
ครูลมุลเล่าว่า ท่านมักได้รับเลือกให้เป็นตัวเอกและพระเอกเสมอ(ท่านเป็นคนมีฝีมือรำสวยงาม) ท่านบอกว่าบางทีท่านก็อยากเป็นตัวเสนาบ้าง เพราะเสนาไม่ต้องท่องบทและถูกซ้อมมาก มีเวลาไปเล่นอย่างสนุกสนานกับเพื่อนๆ คนอื่นได้ เมื่อใดที่ท่านเบื่อซ้อม อยากจะพักบ้าง ท่านก็จะแกล้งทำเป็นไม่สบาย ตัวร้อน เป็นไข้ พอเล่าถึงตอนนี้ ท่านก็หัวเราะเบาๆ ท่านเล่าว่า ท่านเอาใบแก้วมาเคี้ยวแล้วก็กลืนน้ำใบแก้วเข้าไปทำให้ตัวร้อนเหมือนเป็นไข้ ครูมาจับตัวเห็นตัวร้อนจึงให้พักไม่ต้องซ้อม(ท่านมีความรู้ ในเรื่องพืชสมุนไพร มิใช่น้อย)
ครูเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านแกล้งคนจัดเครื่อง ซึ่งถ้าชอบพอใครก็จะจัดเครื่องที่ใหม่ๆ มาให้ใส่ ครูลมุลได้เครื่องเก่าแต่ท่านอยากแต่งเครื่องใหม่บ้าง พอแต่งตัว ท่านก็แกล้งแยกขาผ้านุ่งซึ่งเก่าอยู่แล้วจึงขาด ท่านจึงได้ผ้าผืนใหม่ มานุ่งสมดังใจ อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ท่านจึงรู้ทันและเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของลูกศิษย์ในทุกแง่ทุกมุม
ครูเล่าว่าในวังเวลาหุงข้าวเลี้ยงพวกละครซึ่งมีจำนวนมาก จะใช้วิธีหุงข้าวด้วยกระทะแล้วใส่ไว้ในอ่างใหญ่ ใครจะรับประทานก็มาตักเอาในอ่างนั้น ในวังมีสุนัขตัวหนึ่งชอบแอบมานอนในอ่างข้าวนั้น ครูบอกว่าคงจะเป็นเพราะข้าวอุ่นดี เวลาไปตักข้าวกินก็จะต้องไล่หมาไป แล้วคุ้ยข้าวที่หมานอนทับนั้นทิ้งไป แล้วจึงคดข้าวมากินกัน ในกรณีนี้ ท่านเล่าว่าพวกท่านยังได้แต่งกลอนถึงเจ้าหมาตัวนั้นว่า
"สายสมรนอนหิวกระดิกหาง กระดิกหูชูคอล่อลูกคาง นี่แน่ะก้างเรียมจะให้เป็นไมตรี"
เป็นการผูกมิตรกับเจ้าหมาที่นอนในอ่างข้าวนั้น
อีกเรื่องหนึ่ง ท่านเล่าถึงเมื่อครั้งที่ท่านได้แสดงเป็นอิเหนา สมเด็จพระพันปีเสด็จทอดพระเนตร พอครูลมุลรำจะขึ้นเตียงก็ขึ้นไม่ได้เพราะท่านตัวเล็กมาก เตียงก็สูงเกินไป สมเด็จพระพันปีทอดพระเนตรเห็นจึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปตัดขาเตียงออก ครูลมุลจึงสามารถขึ้นนั่งเตียงได้
อีกเรื่องหนึ่งที่ครูลมุลเล่าอย่างภาคภูมิใจในเกียรติยศที่ท่านได้รับในฐานะ ตัวนายโรงเอกที่งาม ท่านเล่าว่า เมื่อท่านรำออกมานั่งเตียง พอถวายบังคมแล้วรำช้า มหาดเล็กจะนำถ้วยใส่ยาห้อม ซึ่งสมเด็จรับสั่งให้นำไปพระราชทานกับนายโรงเอก ครูลมุลจึงถวายบังคมและเอางาน รับถ้วยยาหอมพระราชทานมารับประทานต่อหน้าพระพักตร์อีกสักครู่ มหาดเล็กก็นำพานทองใส่ถุงตาดทองใส่เงิน มาพระราชทานอีก ถือเป็นเกียรติยศอย่างสูงทีเดียว
ในสมัยนั้น ถ้าผู้แสดงคนใดมีชื่อเสียงก็จะรับสั่งให้มาสอนท่านถึงในวัง เช่น อิเหนาตอนเข้าเฝ้าผู้ที่มีชื่อเสียงว่ารำอิเหนาตอนนี้งามนัก คือ คุณท้าววรจันทร์ พระองค์ท่านก็รับสั่งให้มาสอนแม่ลมุล คุณจอมมารดาเขียน เป็นต้นตำรับการแสดงละครเรื่องพระลอ ท่านก็รับสั่งให้มาสอนพระลอแก่ครูลมุล นอกจากนี้ ยังมีหม่อมครูแย้ม(อิเหนา) ซึ่งเป็นละครของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หม่อมครูอึ่ง ละครในกรมพระราชวังบวร(วังหน้า) ก็รับสั่งให้มาสอนวิชาให้แก่ครูลมุล ท่านจะเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเมื่อกล่าวถึงบรรดาครูของท่าน ท่านเล่าว่ามีเจ้านายบางพระองค์ได้รับสั่งชมท่านว่า "เด็กลมุลแกยังกะละลายไปกลางโรง"
ด้วยฝีมือและความรู้ที่ครูลมุลได้รับจากครูละครที่มีชื่อเสียงหลายๆ ท่านหล่อหลอมให้ครูลมุลมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ และได้รับศิลปศรพระขรรค์ให้สามารถเป็นครูสอนผู้อื่นได้เมื่ออายุท่านได้เพียง 15 - 16 ปี ซึ่งท่านก็เป็นครูที่อายุน้อยที่สุดเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตเช่นนั้น
หลังจากสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางเดชาวุธทิวงคต ครูลมุลได้มาอยู่ที่วังเพชรบูรณ์กับสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกซึ่งเป็นพระอนุชา ครูลมุลจึงเป็นละครในวังถึงสองวัง พอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกทิวงคต ท่านจึงออกจากวังมาแต่งงานกับนายสงัด ยมะคุปต์ ซึ่งเป็นบุตรของพระแสนท้องฟ้า นายอำเภอคนแรกของเมืองราชบุรี แต่งงานแล้วท่านได้ตามสามีไปปรับวงดนตรีให้เจ้าแก้วนวรัฐ พระเชษฐาของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในตอนนั้นเองแม่ลมุลได้มีโอกาสแสดงความสามารถถวายพระราชชายาเจ้าดารารัศมี โดยท่านมีรับสั่งกับครูลมุลว่า " ครู..ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาของพม่ามันแข็ง ครูไปปรับปรุงมาใหม่ให้สวย..." ท่านก็ปรับปรุงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาถวายพระราชชายาเจ้าดารารัศมีเป็นที่พอพระทัยมาก โปรดพระราชทานรางวัลเป็นปิ่นปักผม ทำด้วยทับทิมเม็ดใหญ่
ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเยี่ยมภาคพายัพ เสด็จไปพักที่เชียงใหม่ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงต้อนรับโดยนำการแสดงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาถวายให้ทอดพระเนตร ทรงพอพระทัยมาก
พอพระองค์จะเปิดโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง รัชกาลที่ 7 มีรับสั่งให้มีการแสดงฉลองเปิดโรงภาพยนตร์ ทรงระบุให้นำฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตามาจัดแสดง ทางราชการต้องตามหาครูผู้สอนกันวุ่นวาย เพราะเมื่อติดต่อไปทางพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ก็ได้รับคำตอบว่า ครูผู้สอนติดตามสามีกลับไปแล้ว อย่างไรก็ตามในที่สุดทางราชการก็สามารถตามหาท่านจนพบ และนำครูลมุลมาสอนฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา จัดแสดงถวายในงานเปิดโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงตามรับสั่งในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สำเร็จสมพระประสงค์
เรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูของครูลมุล ยมะคุปต์ ที่มีต่อคุุณครูของท่าน คือ เมื่อครูลมุลออกจากวังแล้ว ท่านยังไปหาครูของท่าน คือ หม่อมครูอึ่ง ทุกวันเสาร์ - อาทิตย์ ท่านจะไปจะไปที่บ้านหม่อมครูอึ่ง ไปทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูบ้าน และทำอาหารให้คุณครูของท่านรับประทาน เมื่อท่านทำงานได้เงินเดือน 36 บาท ท่านจะแบ่งให้หม่อมครูอึ่งเดือนละ 5 บาททุกเดือน
หม่อมครูอึ่ง(อึ่ง หสิตะเสน)หรือนามเดิม คือ เจ้าจอมอึ่ง
ในอดีตพระสนมในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
เป็นครูผู้สอนละครในตัวพระ ในวังสวนกุหลาบ
ที่มา : จากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายอุดม กุลเมธพนธ์(อังศุธร)











ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น