เปิดบันทึกนาฏศัพท์จากปรมาจารย์นาฏศิลป์ ลมุล ยมะคุปต์ ที่บันทึกโดยลูกศิษย์เอก

 เปิดบันทึกนาฏศัพท์จากปรมาจารย์นาฏศิลป์ ลมุล ยมะคุปต์ ที่บันทึกโดยลูกศิษย์เอก




โดยบันทึกนี้เป็นบันทึกนาฏศัพท์ในทางนาฏศิลป์ ของคุณครูอุดม อังศุธร ลูกศิษย์เอก ของคุณครูลมุล ยมะคุปต์ ปรมาจารย์นาฏศิลป์ไทย เขียนขึ้น โดยท่านได้บันทึกไว้ในขณะที่ได้ร่ำเรียนในโรงเรียนนาฏศิลป์กับคุณครูลมุล ยมะคุปต์ และได้สอนในโรงเรียนนาฏศิลป์คู่กับคุณครูลมุล ยมะคุปต์ อาจารย์ของท่านด้วย ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ครูอุดม อังศุธร ได้บันทึกไว้เป็นข้อมูลลายลักษณ์อักษร เพื่อมิให้ลืมเลือนหรือฟั่นเฟือนในเวลาที่เข้าสู่วัยชรา ดังข้อความว่า


" ข้าพเจ้า นายอุดม กุลเมธพนธ์ (อังศุธร) ได้เป็นศิษย์คุณครูลมุล ยมะคุปต์ ตั้งแต่ข้าพเจ้าสอบเป็นข้าราชการโรงเรียนนาฏศิลป์ ในตำแหน่งครูตรี ข้าพเจ้าได้นั่งโต๊ะเดียวกับคุณครูลมุล คุณครูเฉลย ศุขะวณิชและคุณครูมัลลี คงประภัศร์ (ย่าหมัน) ข้าพเจ้ากราบฝากตัวเป็นศิษย์ของคุณครูลมุล ขอร้องให้ช่วยรับข้าพเจ้า คุณครูก็เมตตารับข้าพเจ้า พร้อมกับพูดว่า "พื้นโขนไม่สวย แม่จะรื้อออกแล้วปูพื้นใหม่" ต่อจากนั้นเป็นต้นมา 

เวลา 07.00 น. แม่จะมาถึงฌรงเรียน แล้วสอนข้าพเจ้าเริ่มตั้งแต่รำเพลงช้า เพลงเร็วของละครตั้งแต่ต้นจนจบ แม่ลมุลกรุณาสอนเพลงช้า เพลงเร็ว เหมือนเมื่อท่านรำในวังสวนกุหลาบ เพราะพอท่านมาวางหลักสูตรให้โรงเรียนนาฏศิลป์ ท่านไต้ตัดเพลงเร็วของตัวพระออก ขณะที่ท่านต่อท่ารำก็จะจับข้าพเจ้าพร้อมกับเอ่ยคำนาฏศัพท์ของท่ารำนั้นๆ ไปพร้อมๆ กัน ท่านกล่าวว่า "นาฏยศัพทฺ์ " หมายถึง คำศัพท์ที่เราเรียกอวัยวะของเราที่ใช้ในการรำท่านกล่าวว่า นาฏศัพท์มีไม่มากนัก ส่วนมากมักเอาชื่อท่ามาใช้ปนกับนาฏศัพทื์ ข้าพเจ้าเขียนนาฏศัพท์ฉบับคุณครูลมุลนี้ขึ้น เืพ่อมิให้ลืมหรือฟั่นเฟือน คำใดที่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินคุณครูลมุลพูด ข้าพเจ้าไม่ขอนำมากล่าวในฉบับนี้ "


อุดม กุลเมธพนธ์ (อังศุธร)


ว่าด้วยอวัยวะมือ

1.ตั้งวง คือท่าก่อนจะณมมือไหว้จะเรียกว่า ตั้งวง คือมือทั้งสองต้องหักข้อมือ นิ้วทั้งสี่ขิดติดกัน นิ้วหัวแม่มือหักหลบเข้าฝ่ามือเล็กน้อย เวลาประณมมือ ท่านให้ใช้จมูกมือติดกันบานปลายมือออก นิ้วทั้งสี่ตึงชิดติดกัน ส่วนนิ้วหัวแม่มือท่านให้ขิดติดกัน ให้ห่างจากนิ้วทั้งสี่ ลักษณะของวงมี 4 ระดับ คือ

                วงบน            พระ         อยู่แง่ศีรษะ 

                วงกลาง        พระ         อยู่ระหว่างหัวไหล่

                วงล่าง           พระ        อยู่ระดับเอว

                วงหน้า          พระ         อยู่ข้างหน้าระดับปาก

2.จีบ ท่านกล่าวว่า ให้เอาหัวแม่มือกับนิ้วชี้มาจรดกัน อีกสามนิ้วให้กรีดตึงออกไป หักข้อมือ ลักษณะของจีบ ท่านบอกว่าให้ดูฝ่ามือเป็นหลัก ถ้าฝ่ามือหงาย เรียกว่า "จีบหงายมือ" ถ้าฝ่ามือตะแคง เรียกว่า "จีบตะแคง" ถ้าฝ่ามือคว่ำ ก็เรียกว่า "จีบคว่ำมือ" ไม่ว่าจีบนั้นจะอยู่ที่ไหน เราจะเรียกจีบนั้นตามลักษณะของฝ่ามือ ดังนั้น จีบของคุณครูลมุลจึงมี 3 ลักษณะ คือ จีบหงาย จีบคว่ำ จีบตะแคง ส่วนท่าที่ใช้นิ้วกลางและนิ้วหัวแม่มือมารวมกัน โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกันนิ้วกลางไว้ให้เป็นวงกลม ส่วนนิ้วชี้ นิ้วนางและนิ้วก้อย ให้กรีดนิ้วดึงออกไป แม่ลมุลไม่เรียกว่าจีบ ท่านเรียกว่า "มือล่อแก้ว"

3.ม้วนมือจีบ ท่าจีบหักข้อมือแล้วม้วนจีบลงข้างล่าง แล้วกลับไปเป็นท่าตั้งวง

4.คลายมือจีบ ท่าจีบหักข้อมือแล้วหงายมือจีบ แบมือหักข้อมือลงแล้วกลับมาตั้งเป็นวง เช่น ท่าวาดขึ้นเตียง มือซ้ายต้องตั้งวง มือขวาจีบคว่ำ แล้วก้าวเท้าซ้ายขึ้นเตียง คลายมือจีบ คือ ปล่อยจีบหงาย มือจีบเปลี่ยนมาเป็นตั้งวง มือซ้ายที่ตั้งวงเปลี่ยนเป็นจีบหงายส่งไปข้างหลัง พร้อมกับยกขาขวาขึ้นมานั่งคุกเข่าบนเตียง ก่อนที่จะนั่งพับเพียบ

5.สะบัดจีบ ลักษณะคล้ายกับคล้ายจีบแต่ใช้แรงสะบัดปลายมือให้แรง แล้วจึงกลับมาตั้งเป็นวง

6.ละเลงมือ ลักษณะคล้ายๆ จะจีบแต่ไม่ใช่จีบ คือ นำนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้มาชิดกันด้านข้าง กรีดนิ้วที่เหลือทั้งสามออกให้ตึงเหมือนจีบแล้วคลายมือออกเป็นแบมือหวายแล้วกลับมาตั้งวง ต่อจากนั้นจึงนำนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้มาชิดกันอีก กรีดนิ้วทั้งสามให้ตึงแล้วทำกิริยาเหมือนแรกเริ่ม

7.จีบเคล้า ถ้ามือจีบข้างซ้ายจีบตะแคง มือขวาตั้งวง มือจีบอยู่ด้านใน วงอยู่ด้านนอก เปลี่ยนมาเป็นจีบตะแคงด้านขวามือ มือซ้ายตั้งวงอยู่ด้านนอกจีบมือขวา (เอียงข้างมือตั้งวง)

8.ฉายมือ มักจะทำไปพร้อมกับฉายเท้า เช่น เวลาจะออกเพลงเร็ว ส่ายมือ ถัดเท้า ต้องฉายมือซ้าย คือ หงายมือแทงไปข้างซ้ายแล้วตั้งวงมือขวาที่ตั้งวงต้องเปลี่ยนเป็นหงาย พร้อมกับแทงมือไปทางขวา ทำพร้อมกับการฉายเท้า

9.กวดข้อมือ คือ กิริยาที่เราตั้งวงแล้ว กดมือทางด้านนอกคือด้านนิ้วก้อยกดลงแล้วค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักมาไว้ที่กลางมือ หักข้อมือ ตั้งวงไว้ เช่น ท่าคำว่า "มา" ทางซ้ายมือหรือขวามือ

10.วาดมือ คือ กิริยาที่เราตั้งวงบนแล้วตึงแขนพร้อมกับลดมือลงมาระดับสะโพกระหว่างวาดมือลง มือจะหักข้อมือลง

11.ส่ายมือ คือ อาการแบบวาดมือ แต่เร็วกว่าวาดมือ เวลาส่ายมือลงแขนตึง มือหักข้อมือกดมือมาถึงสะโพกแล้วจึงหงายมือ แขนตึง  ขึ้นไปจนถึงระดับไหล่ แล้วคว่ำมือกดมือลงมาอย่างเร็ว ให้ทันตามจังหวะเพลงสายมีทั้งส่ายมือเดียวและส่ายสองมือ

12.บดมือ คือ การที่เอาฝ่ามือทั้งสองแนบชิดติดกันแล้วจึงบดถ้าจะจีบขวา มือขวาที่บดต้องอยู่ข้างล่าง มือซ้ายอยู่ข้างบน บดมือแล้วมือขวาตั้ง มือซ้ายจีบหงาย

13.แทงมือ มี 2 ลักษณะ ลักษณะแรกในท่ารำเพลงช้า เช่น มือซ้ายตั้งวงล่าง มือขวาสอดสูงงอแขน หงายมืออยู่ ประเท้าขวา กดปลายมือขวา ที่หงายอยู่ลงแล้วกลับมาตั้งวงบน

14.แทงมือ ลักษณะที่ 2 ในท่ารำกลมพระขรรค์ มือขวาที่ถืออาวุธ ต้องหงายมือแขนตึง ใช้นิ้วหัวแม่มือกดด้ามพระขรรค์หรืออาวุธเอาไว้แทงปลายพระขรรค์ออกไปข้างหน้า ส่วนมือที่ไม่ได้ถืออาวุธก็หงายมือ ตึงแขน หันมาทางขวาแบมือแทงไปข้างหน้าหรือท่าสระหม่าแขก ท่าแบมือแทงสลับกัน สองมือ แล้วสวนกัน ฝ่ามือต้องหงาย นิ้วทั้งห้าต้องชิดติดกัน (อยู่ในข้อแทงมือ ในข้อ 13 แต่ลักษณะแทงมือไม่เหมือนกัน)

15.ขยับมือ ตั้งวงแล้วกดปลายมือลงแล้วกลับมาตั้งวงอย่างเดิม ทำซ้ำๆ กันหลายๆ ครั้ง เช่น ในท่าฟ้อนลาวแพนในท่าเพลงเร็ว จีบมือขวาไว้ที่ชายพกหรือหัวเข็มขัด มือซ้ายจีบหงายส่ายไปข้างหลังแล้วสะดุ้งตัวขึ้นค่อยๆ หันมาทางขวา มือซ้ายค่อยๆ นำตั้งวงแล้วจึงขยับมือซ้าย ส่วนมือขวาหงายมือแทงไปข้างๆ การขยับมือคืออาการที่กดข้อมือลงแล้วกลับนำขึ้นมาตั้งวงแล้วกดข้อมือลงไปอีก แล้วนำกลับมาตั้งวงอีก ทำหลายๆ ครั้ง)

16.ไว้มือ มี 3 ลักษณะ คือ แบบที่ 1 ไว้มือในการรำดพลงช้านั่งคุกเข่ามือทั้งสองคว่ำ ใช้จมูกมือแตะไว้ที่หน้าขาทั้งสอง จีบคว่ำแล้วคลายมือจีบหงายมือ แล้วคว่ำลง ทั้งสองมือไว้ที่หน้าขาทั้งสองเหมือนเดิม แบบที่ 2 ไว้มือในการรำเพลงช้าปี่ในท่ารับ ท่าพิสมัยเรียงหมอน เมื่อเพลงจะหมดจังหวะ เราจะกวดข้อมือข้างซ้ายที่เราตั้งวงไว้กดลงไปด้านนอกมือ คือ ทางด้านนิ้วก้อย แล้วกวดข้อมือมาตั้งวงไว้ดังเดิม แบบที่ 3 ไว้มือในการตีบท กรณีที่เราแบมือตั้งไว้ กวดข้อมือกดลงแล้วยกขึ้นตั้งไว้ดังเดิม

17.โปรยมือ คือ กิริยาจีบสองมือ ดึงแขนทั้งสองข้าง แล้วงอ แล้วตึงทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง ตามจังหวะเพลง พร้อมๆ กับค่อยๆ ลดแขนลงมา แล้วจึงม้วนมือจีบหงาย แขนทั้งสองฝั่ง (อยู่ในเพลงเร็ว)

18.สอดมือ คือ กิริยาที่เราตั้งวงหน้า อีกมือหนึ่งจีบที่หัวเข็มขัดแล้วใช้มือที่จีบค่อยๆ ยกขึ้นมาระดับวงหน้า แล้วคลายจีบตั้งวง ส่วนมือที่ตั้งวงค่อยๆ ลดลงมาจีบแทน


ว่าด้วยอวัยวะ ศีรษะ

1.เอียงศีรษะ จะเอียงซ้ายหรือเอียงขวา ข้อสำคัญต้องตั้งศีรษะไว้ ไม่เอียงแบบคอพับ บางท่านเรียกว่า เอียงใบหู

2.ลักคอ ก็ใช้อวัยวะศีรษะด้วย เช่น ลักคอซ้ายต้องเอียงศีรษะทางซ้ายแล้วกดไหล่ขวา ถ้าลักคอขวาต้องเอียงศีรษะทางขวาแล้วกดไหล่ซ้าย

3.กล่อมหน้า คือ กิริยาที่เอียงศีรษะอยู่ข้างหนึ่งแล้วกลับมาเอียงอีกข้างหนึ่ง เช่น เอียงศีรษะทางขวาอยู่แล้วค่อยหันหน้ามาข้างซ้ายพร้อมกับเอียงศีรษะมาทางซ้าย ถ้าเริ่มจากเอียงซ้ายก็ทำในลักษณะเดียวกันแต่ทำตรงกันข้าม คือเอียงซ้ายอยู่แล้วค่อยๆ หันหน้าไปทางขวาเล็กน้อยพร้อมกับเอียงขวาหันหน้าตรง การกล่อมหน้ามักใช้คู่กันไปกับการกล่อมไหล่

4.ทิ้งหน้า คือ กิริยาที่เราหันข้าง แล้วเหลียวหน้าไปข้างหน้า

5.กรอกคอ คือ กิริยา กิริยาที่กล่อมหน้าจากขวามาซ้าย ก่อนที่จะตั้งศีรษะตรงแล้วจึงทิ้งคอ

6.ทิ้งคอ มักใช้ในเพลงกลม เช่น กลมพระขรรค์ หรือกลมเงาะ คือตั้งศีรษะ หน้าตรง แล้วแข็งคอ ทิ้งศีรษะไปทางซ้ายและทางขวา


ว่าด้วยอวัยวะ เท้าและขา

1.ตบเท้า คือ กิริยาที่เราใช้เท้าตบที่พื้น วิธีทำคือ ดึงนิ้วเท้าขึ้น ส้นเท้าติดพื้น ใช้จมูกเท้าตบลงกับพื้น ส้นเท้านิ่งอยู่กับที่

2.ประเท้า ใช้กิริยาเหมือนตบเท้า แต่ประเท้าพอใช้จมูกเท้าตบลงกับพื้นแล้วต้องรีบยกขาขึ้นเลย

3.กระทุ้งเท้า กิริยา คือใช้จมูกเท้ากระทั่งกับพื้นข้างหลังส่วนมากกระทุ้งแล้วจะกระดกเท้าขึ้น

4.กระดกเท้า คือ กิริยาหลังจากที่กระทั่งเท้าแล้วต้องหนีบน่องขึ้น พร้อมกับดันหัวเข่าไปข้างหลัง เรียกว่า กระดกตรง แต่ถ้ากระดกโดยหนีบขาไปข้างตัว เรียกว่า กระดกเสี้ยว กระดกขามีทั้งท่านั่งและท่ายืน

5.กระทบ มี 2 แบบ คือ นั่งกระทบ กับ ยืนกระทบ

                นั่งกระทบ มี 2 ลักษณะ คือนั่งคุกเข่า วางก้นบนส้นเท้า แล้วยกก้นขึ้นเล็กน้อยแล้วกลับวางลงบนส้นเท้า โดยใช้จมูกเท้ายันไว้ อีกแบบหนึ่ง คือนั่งพับเพียบกระทบ ใช้เข่าและข้อเท้าทั้งสองเป็นหลัก ก้นจึงจะเบา แข็งหน้าขาทั้งคู่ ยกก้นขึ้นแล้วปล่อยลงให้ตรงจังหวะ เช่น ในคำร้องว่า "เมื่อเอย" ให้ยกก้นขึ้น เมื่อนั้น ให้กระทบก้นลง

                ยืนกระทบ ย่อตัวลงยกขาข้างหนึ่งขึ้น ข้างที่เป็นหลักยกพ้นพื้นเล็กน้อย แล้วกระทบลงกับพื้น เรียกว่ายืนกระทบ

6.ห่มเข่า คือ กิริยาที่เรายืดเข่า แข็งข้อเข่าและกล้ามเนื้อขาพร้อมกับ ย่อลง ใช้กับท่าที่เราเรียกว่า ขยับ จะใช้ในท่าที่เปลี่ยนจากเอียงขวา มาเอียงซ้ายหรือจากเอียงซ้ายมาเอียงขวา หรือกรณีที่เราจะประเท้า เราจะยึดเข่า และยุบย่อเข่าลงก่อนที่เราจะประเท้า คือเราจะห่มเข่า พร้อมกับประเท้าทันที

7.สะดุ้งขึ้น เป็นกิริยาที่ตรงข้ามกับห่มเข่า เพราะห่มเช่าต้องย่อลง ส่วนสะดุ้งขึ้นต้องยืดตัวขึ้น เช่นท่าโปรยมือในเพลงเร็ว หรือตะเขิ่งในท่าตบอกยกขา

8.เก็บ คือ กิริยาของเท้าที่เราซอยเร็วๆ โดยแข็งข้อเข่า ย่อลง มีใช้ทั้งเคลื่อนที่ เช่น ในเพลงคุกพาทย์ รัวสามลา หรือเก็บอยู่กับที่ ใน้พลงช้าจะมีเก็บเท้าเรียงข้าง ข้อสำคัญ เก็บเท้าต้องเขย่งส้นเท้าขึ้น ตัวละครที่มีกำลังหรือมีอิทธิฤทธิ์ มักจะใช้ท่าเก็บเท่า เช่น ซมพลา หรือฮเนา ในเรื่องงาะป่า เจ้าเงาะ ในเรื่องสังข์ทอง

สินสมุทร ในเรื่องพระอภัยมณี มีมารดา เป็นนางยักษ์ก็ใช้เก็บ พระฆเนศวร์และปรศุราม (เป็นหัวหน้าพราหมณ์) ก็ใช้เก็บทั้งโขนและละคร ใช้นาฏยศัพท์คำนี้ในความหมายตรงกัน 

9.ขยั่นเท้า หมายถึง กิริยาที่ใช้เท้าไขว้กัน ยกส้นเท้าทั้งสองและเคลื่อนไปถี่ๆ ขยันเท้า มีหน้าตรงและด้านข้าง 

10.ชักน่องหรือหนีบน่อง ใช้ในกรณีเมื่อประเท้าแล้วยกขาขึ้น ครูมักจะสั่งว่าให้ชักน่องหรือ หนีบน่อง ซึ่งหมายถึง ให้กดข้อเท้ามาทางน่องมิให้กางออกไป การยกขาของตัวพระตะต้องยกสูงระดับครึ่งเข่า ของขาอีกข้าง

11.สูดเท้า เช่น เวลาที่เราก้าวเท้าไปข้างหน้าหรือข้างๆแล้วลากเท้าหลังมาประสมกันแล้วประเท้า เราจะตึงปลายเท้าขึ้นใช้ฝ่าเท้าลากเท้า(อาการนี้เรียกว่า สูดเท้า) เข้ามา ในท่าเดินแบบพม่าครูจะสั่งให้เดินสูดเท้า คือ ก้าวขาเดินแล้วสูดเท้ามารวม

12.จรดเท้า มี 2 แบบ คือใช้จมูกเท้าจรด และใช้ส้นเท้าจรด จรดเท้าจะใช้กิริยาเดียวกับประเท้า แต่จรดเท้าจะอยู่ในท่านิ่ง ส่วนประเท้าต้องรีบยกเท้าขึ้นหรือเคลื่อนที่เลย สำหรับจรดที่ใช้ส้นเท้ามีใช้ในท่าโบก

13.เดี่ยวขา คือ กิริยาที่ยกขา หักข้อเท้าแล้วนำส้นเท้ามาชิดติดกับขาอีกข้างหนึ่งระดับครึ่งน่อง ตัวพระจะเกี่ยวขาในท่ารำข้าง ส่วนตัวนาง จะเดี่ยวขาหน้าตรง ที่เรียกเป็นศัพท์ว่า หน้าอัด

14.เดาะเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าจรดกับพื้น แตะเร็ว(ใช้จมูกเท้าแตะ)

15.ประสมเท้า คือ กิริยาที่เรานำส้นเท้ามาชิดติดกัน ปลายเท้าบานออกไป น้ำหนักขาทั้งสองข้างเท่ากัน เช่น ในท่าออกเพลงเร็ว ประสมเท้า อีกอย่างหนึ่งคือ ประสมเท้าเพื่อมาประเท้าที่จะมาประสมเพื่อจะประจะต้องอยู่ตรงตาตุ่มของขาอีกข้างหนึ่งให้ระยะห่างพอประมาณไม่ต้องชิดติดกันเหมือนประสมเท้าท่าออกเพลงเร็ว

16.ฉายเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าเช็ดเท้าออกเป็นครึ่งวงกลม หันตัวไปตามเท้า ฉายเท้านี้มักทำไปพร้อมกับฉายมือ ยกเว้นฉายเท้าในเพลงฝรั่งรำเท้า เมื่อฉายเท้าแล้วจึงก้าวขาไปข้างๆ

17.ถอนเท้า คือ กิริยาที่ก้าวเท้าใดเท้าหนึ่งไปข้างหน้า น้ำหนักตัวอยู่เท้าหน้าแล้วถ่ายน้ำหนักตัวมาไว้ที่เท้าหลัง แล้วยกเท้าหน้าขึ้นโดยไม่ต้องประเท้า

18.เช็ดเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าสีไปกับพื้นเร็วๆ อยู่ในเพลงช้า

19.เล่นเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าจรดกับพื้น แล้วประเท้ายกไปวางข้างหลังแล้วกระทุ่งเท้าหลัง(เท้าเดิม) มาจรดไว้อย่างเดิม ทำต่อเนื่องเช่นนี้ หลายๆครั้ง หรืออีกอย่างหนึ่งคือ ประเท้าทั้งสองสลับกันตามจังหวะช้าเร็ว

20.ถัดเท้า คือ กิริยาที่ใช้จมูกเท้าไสไปข้างหน้า ก้าวเต็มฝ่าเท้า แล้วก้าวเท้าอีกข้างตามไป ก้าวเต็มเท้าทั้งสองข้าง เคลื่อนที่ไป เช่น ในท่าส่ายเพลงเร็ว ตัวพระต้องถัดเท้าหน้า ก้าวเท้าหลังตาม ส่วนตัวนางถัดเท้าหลัง(ถัดเท้าเอียงข้างเดียว)

21.สะดุดเท้า คือ กิริยาอยู่กับที่ เท้าหลังเขย่งสั้น ยันไว้ เท้าหน้าใช้จมูกเท้าไสไปข้างหน้าแล้วรีบชักกลับมาวางไว้ที่เดิม(ข้อสังเกต สะดุดเท้า ต้องลักคอ)

22.โขยกเท้า เช่น ท่าในเพลงต้นวรเชษฐ์ ก้าวเท้าหลังมาข้างหน้า เท้าหน้าจรดจมูกเท้า ถ่ายน้ำหนักมาเท้าหน้า เท้าหลังเขยิบตามเท้าหน้าเล็กน้อย เท้าหน้าเขยิบหนีไปอีกเล็กน้อย

23.เรียงเท้า คือ กิริยาที่ใช้เท้าขยับเรียงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เช่น ในเพลงฝรั่งคู่ จีนรำพัด

24.ย่ำเท้า คือ กิริยาที่ใช้เท้ายกโดยยกส้นเท้าขึ้น จะมีเท้าวิ่งและย่ำอยู่กับที่ เช่น เพลงคุกพาทย์ จะอยู่กับที่รอจังหวะที่จะเก็บเท้า ไปขึ้นท่าหรือร้องเพลงเห่เชิดนิ่ง ตอนพระลอตามไก่ หรือย่าหรันตามนกยูง จะวิ่งรุกและถอยและย่ำอยู่กับที่ จะต้องวิ่งและย่ำอยู่กับที่ โดยไม่ให้ส้นเท้าถูกพื้น

25.ไสเท้า กิริยาที่ใช้จมูกเท้าไสพื้นไปข้างหน้า แล้วยกมาวางที่เดิม ทำทั้งสองข้าง เช่น ในท่ารับ พระลอลงสวน และเพลงฝรั่งรำเท้าในฝรั่งคู่ ในเพลงเชิด เวลาวิ่งเรียกว่า ไสเท้า แต่พออยู่กับที่แล้วชักแป้งเรียกว่าเก็บ

26.เลาะเท้า อยู่ในท่ารำเพลงกลม คือ กิริยาที่เราจะยกขา โดยยกส้นเท้าทั้งสอง ถ้าจะโขยกทางขวา เราต้องเลาะเท้าขวา คือ น้ำหนักอยู่ขาซ้าย เขยิบขาขวาขึ้นไปเล็กน้อย เขยิบขาซ้ายตามพร้อมกับยกขาซ้ายขึ้น

27.ตะลึกตึก คือ กิริยาที่เรากระทืบเท้าติดกันสองครั้ง ครั้งที่สามยกขาขึ้น จะต้องกระทืบเท้าซ้ายก่อน แล้วตามด้วยเท้าขวาติดกัน ปฏิบัติอย่างเร็วแล้วยืนด้วยเท้าซ้าย ยกเท้าขวาขึ้น ใช้ในกรณีแผลงฤทธิ์ หรือตะลึกตึกกลับตัวเลาะเท้า กิริยาคล้ายโขยกเท้าหน้า ใช้จมูกเท้า จรดพื้นน้ำหนักอยู่ขาหลัง แล้วขยับขาหน้า ขาหลังตาม แล้วจึงยกขาหน้าขึ้น


ว่าด้วย อวัยวะไหล่และตัว

1.กล่อมไหล่ คือ กิริยาที่ถ่ายน้ำหนักจากไหล่ข้างหนึ่งไปสู่อีกข้างหนึ่ง เช่น ถ้าจะเริ่มกล่อมจากไหล่ขวาก็เอียงไหล่ทางขวา แล้วค่อยๆ ถ่ายน้ำหนัก มาทางไหล่ซ้ายจนกลับมาเอียงด้านซ้าย พร้อมๆ กับเอียงศีรษะตามการ เคลื่อนไหล่ กล่อมไหล่นี้จะทำไปพร้อมกับการกล่อมหน้า

2.ตีไหล่ คือ กิริยาที่ใช้ในการรำเชิดฉิ่ง เช่น ถ้าจะตีไหล่ซ้ายหันไหล่ซ่ายออก กดไหล่ซ้าย เอียงศีรษะทางซ้าย แล้วกลับมาเอียงทางขวา กดไหล่ขวา เอียงศีรษะทางขวา แล้วกลับไปกดไหล่ซ้าย เอียงซ้าย หันไหล่ ไปทางซ้าย แล้วกลับมาเอียงทางขวา กดไหล่ขวา เอียงศีรษะทางขวา ทำเช่นนี้สลับกัน

3.ส่ายไหล่ คือ กิริยาที่ตีไหล่ทั้งสองข้างๆ ทั้งซ้ายและขวา ส่วนใหญ่ใช้การรำพม่าในละครพันทาง

4.ย้อนตัว คือ กิริยาที่เราก้าวขาไปข้างๆ น้ำหนักอยู่ที่ขาที่ก้าว แล้วถ่ายน้ำหนักมาขาหลัง กดเกลียวข้างขาที่ก้าวลงแล้วถ่ายน้ำหนักไปขาที่ก้าว เวลากดเกลียวข้าง หน้า ศีรษะต้องเอียงทางขาหน้า ถ่ายน้ำหนักไปขาหน้า ต้องเอียงศีรษะทางขาหลัง

5.โย้ตัว คือ อาการกิริยาที่ก้าวขาไปข้างหน้า ขาหลังทอดไปข้างหลัง แล้วถ่ายน้ำหนักตัวจากขาหน้ามาข้างหลังเผยอส้นเท้ายันเอาไว้ เช่น ถ้าเรา โก้ตัวในท่าผาลาเพียงไหล่ ขาขวาต้องก้าวไปข้างหน้า ขาซ้ายทอดไปข้างหลัง แล้วเผยอส้นเท้าซ้ายยันเอาไว้ ขาทั้งสองไขว้กัน เอียงศีรษะข้างขวา มือขวาตั้งวงบน น้ำหนักอยู่ขาขวา พร้อมกับยึดเข่าและห่มเข่าลง ถ่ายน้ำหนักมาขาหลัง กดเกลียวข้างซ้ายพร้อมกับเอียงศีรษะไปข้างซ้าย มือซ้ายหักข้อศอก หักข้อมือหงาย ทำดังนี้ตามจังหวะ

6.ยักตัว ใช้ในกิริยาออกเพลงเร็ว คือผสมเท้าเท่ากัน มือซ้ายตั้งวงบน มือขวาจีบตึงแขน ให้แขนที่จีบตรงกับหน้าขา แล้วกดเกลียวหน้าพร้อมกับลักคอ

7.เกลียวหน้า คือ บริเวณใต้ราวนมทั้งสองข้าง เวลาเราจะออกเพลงเร็วเราต้องกดเกลียวหน้า คือบริเวณใต้ราวนมทั้งสอง

8.เกลียวข้าง คือ บริเวณสีข้างทั้งสอง เวลาที่เราจะออกฉากตรวจพล เราจะต้องใช้กิริยายักตัว คือ กดเกลียวข้างพร้อมกับก้มหน้าแล้วเงยหน้า (เรียกว่า ใช้ หน้าหนัง) หรือเวลาที่เราจะย้อนตัวต้องกดเกลียวข้างลง

9.ยั้งตัว คือ กิริยาที่เราก้าวขาไปข้างๆ แลัวยักตัวเข้า-ออก ก่อนที่เราจะก้าวขาเคลื่ยนที่ เมื่อยักตัวออก น้ำหนักจะอยู่ขาหน้า ถอนน้ำหนักมาหลังพร้อมกับก้าวขาหลังไปข้างหน้า กดไหล่ขวา เอียงศีรษะข้างขวา เช่น ท่ารุกรัน และเชิดฉาน

10.สะดึกตัว คือ ใช้ในกรณีการเต้นของเงาะ เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง คือ ก้าวขาไปข้างๆ น้ำหนักตัวอยู่ขาหน้า เอียงศีรษะข้างหลัง เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถไปอีกข้างหนึ่งจะต้องถอนน้ำหนักตัวมาขาหลังกดเกลียวข้าง ด้านขาที่ก้าว เอียงศีรษะด้านขาที่ก้าวแล้วสะอึกตัวขึ้น กดไหล่ขาหลังเอียงศีรษะทางขาหลัง แล้วจึงเปลี่ยนไปอีกข้างหนึ่ง

11.กระทายไหล่ คือ กิริยาที่เราใช้ไหล่เบี่ยงมาข้างหน้าและข้างหลังสลับกัน


ที่มา : จากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายอุดม กุลเมธพนธ์(อังศุธร)


ความคิดเห็น