ทำไม สิงคโปร์จึงทำเมืองสีเขียวได้

 ทำไม สิงคโปร์จึงทำเมืองสีเขียวได้


ต้นไม้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศอันซับซ้อนบนโลกใบนี้ ต้นไม้ให้อะไรกับมนุษย์บ้าง มันเป็นแหล่งที่มาของอาหารและทรัพยากรต่างๆ ปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนที่คนและสัตว์ต้องใช้หายใจ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดักจับมลพิษต่างๆ ทั้งฝุ่นควัน เสียงและแสง สร้างความเย็น ร่มรื่นและชุ่มชื้นในอากาศ นอกจากจะให้แล้ว ต้นไม้ก็มีความต้องการด้วย ไม่ต่างอะไรกับความรัก ต้นไม้ต้องการเวลาและคนดูแล


เมื่อปี 1965 เกาะปลายแหลมมลายูเล็กๆ ที่เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง ไม่มีความสลักสำคัญอันใดอย่างสิงคโปร์ ถูกตัดขาดจากแผ่นดินแม่อย่างสหพันธรัฐมาเลเซีย 2 ปี หลังจากการถือกำเนิดของสาธาณรัฐสิงคโปร์ ลี กวนยู นายกรัฐมนตรี ในเวลานั้นเริ่มต้นวางรากฐานการพัฒนาประเทศ และแนวคิดเมืองในสวนให้กับเกาะเล็กๆแห่งนี้ 


เวลาผ่านไปสิงคโปร์ผงาดขึ้นมาเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เติบโตมาพร้อมๆกับประเทศ คือ ต้นไม้



นโยบายการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับต้นไม้ ต้นไม้คือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นลำดับต้นๆ ที่ต้องมี เช่นเดียวกันกับสาธารณูปโภคอื่นๆ อย่างเช่น ถนน ไฟฟ้า ประชา การสื่อสาร ลีกวนยู นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นมองการพัฒนาชาติในแบบแผนระยะยาว การพัฒนาพื้นที่สีเขียวถูกจัดความสำคัญระดับเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ 


ลี กวนยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในสมัยนั้น


ทุกวันนี้สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทั้งเศรษฐกิจ และมีความหนาแน่นของพื้นที่สีเขียวมากที่สุดของโลก ต้นไม้ต้องใช้เวลาเติบโต เมืองสีเขียวไม่ได้ผุดขึ้นมาอย่างกระทันหัน ต้นไม้เป็นล้านๆต้น ในปัจจุบัน มาจากการวางแผนและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง มีการระดมปลูกต้นไม้อย่างมโหฬาร และถูกผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ มีกฏหมายเกี่ยวกับต้นไม้และสิ่งแวดล้อมกำกับอย่างเข้มงวด มีการจัดตั้ง National Parks Board เป็นหน่วยงานเพื่อดูแลโดยเฉพาะ ไม่เพียงแค่สร้างคุณภาพชีวิตให้ดีกับคนสิงคโปร์ พื้นที่สีเขียวยังคือสิ่งที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย ในแง่การลงทุน การดึงดูดนักลงทุนระยะสั้น ค่าแรงที่ถูก ค่าที่ดินที่ไม่แพง อาจดึงดูดการลงทุนในสิงคโปร์ได้ แต่ก็เป็นแค่ความสนใจที่จะลงทุนในระยะสั้นๆ แต่ลี กวนยู ไม่ได้คิดเช่นนั้น หากต้องการพัฒนาชาตที่ยั่งยืน เราต้องทำให้แน่ใจว่า นี่เป็นเมืองเพื่อการลงทุนและเป็นเมืองของประชาชน สร้างโรงงาน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆขึ้นมา เพื่ออยู่อาศัย ทำงานและลงทุนในระยะยาว


สิงคโปร์มีขนาดเล็กประมาณครึ่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เกาะเล็กๆที่ขาดคลานทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับมีมรดกโลกทางธรรมชาติ 


สวนพฤกษศาสตร์สิงคโปร์ พื้นที่สีเขียว 500 ไร่แห่งนี้ จากพื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกทิ้งร้าง รัฐบาลสิงคโปร์เพียรสร้างมันจนกลายเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ที่ไม่ใช่มีเพียงแค่ต้นไม้ขึ้น แต่ยังมีระบบนิเวศที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ทีนี่มีพืชพันธุ์นานาชนิดรวมกันกว่า 3 หมื่นชนิด เป็นเหมือนโรงงานผลิตออกซิเจนและแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นสวนสาธารณะที่เปิดให้ทุกคนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ ใช้งาน ชื่นชมธรรมชาติโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่เวลาตี 5 จนถึงเที่ยงคืน มากกว่านั้น คือเป็นศูนย์กลางด้านวิจัยชั้นนำทางพฤกษศาสตร์และพืชสวนของโลก




Singapore Botanic Gardens สวนพฤกษศาสตร์มรดกโลกแห่งสิงคโปร์
 

สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้มีอายุ 120 ปี เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสวนของประเทศ เพราะประเทศทำวิจัยอย่างลึกซึ้งในการปลูกต้นไม้แต่ละต้น และยังใช้ความรู้ในการปลูกต้นไม้ในสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ริมข้างทางหรือต้นไม้ในสวน ที่ทำให้ต้นไม้ในสิงคโปร์มีความร่มรื่นและหลากหลาย


ที่ดินอันจำกัดและราคาแพงประดุจทองคำของสิงคโปร์ มูลค่าของที่ดินเกือบ 500 ไร่ ของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้นับว่าสูงมาก หากนำไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มูลค่าต่อหน่วยจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก แต่ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นทุกใบในสวนนี้เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้มันสำคัญต่อชีวิตและจิตวิญญาณชาวสิงคโปร์ เกินกว่าที่จะถูกแปรเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะใจกลางสวนประมาณ 37 ไร่ ที่เป็นพื้นที่ป่าฝนเขตร้อน หรือป่าดิบชื้นผืนสุดท้ายบนเกาะนี้


ทันทีที่ก้าวเข้ามายังอาณาเขตของป่าดงดิบ เหล่าสิ่งก่อสร้าง รถราและผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ด้านนอกสวน ดูเหมือนจะอยู่ไกลแสนไกลออกไปอีกโลกหนึ่ง สองข้างทางรกทึบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่หลายคนโอบ ความสูงไม่ต่ำกว่า 20-30 เมตร หยัดยืนแผ่กิ่งก้านร่มครื้มอยู่ด้านบน ไม้ต้นขนาดกลางและเล็ก ล่างสุดเป็นพืชจำพวกเถาวัลย์ เฟิร์นและมอส ความรกชัดของป่าดิบ เสียงนก สัตว์เลื่อยคลาน แมลงนานาชนิดเซ็งแซ่อยู่รอบตัว จนหลายคนอาจลืมไปว่า เดินไปอีกไม่กี่นาที คือห้างสรรพสนค้าสุดหรู ภัตตราคาร ร้านอาหารมากมาย


ความเก่าแก่ อุดมสมบูรณ์และหลากหลายของพรรณไม้ ในป่าฝนเขตร้อนและสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ ทำให้มันถูกยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ


การจะรักษาต้นไม้ในสิงคโปร์ให้มีอายุที่ยืนยาวเป็นร่มเงาให้กับชาวสิงคโปร์จำเป็นต้องมีรุกขกรหรือหมอต้นไม้ เพราะต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีการเกิดเจริญเติบโต แก่ เจ็บป่วยและล้มตาย ต้นไม้มีความจำเป็นต่อมนุษย์มากแค่ไหน หมอต้นก็มีความจำเป็นกับต้นไม้เช่นนั้น ลำพังปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียวไม่ช่วยให้สิงคโปร์เขียวได้ขนาดนี้ ที่สำคัญเท่าๆ กับการปลูกคือการดูแลรักษา


นโยบายของรัฐบาลสิงคโปร์ในการดูแลรักษาต้นไม้นั้นเข้มงวดจริงจัง ต้นไม้ทุกต้นที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 

30 ซม.ขึ้นไป ถือเป็นสมบัติของชาติที่ต้องได้รับการดูแล ห้ามไม่ให้ตัดอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะเป็นต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ในบ้านของคนนั้นก็ตามที หากมีความจำเป็นต้องตัดก็ต้องยื่นเรื่องขออนุญาตและต้องผ่านการประเมินทั้งทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมจากรุกขกรเสียก่อน ถ้าตัดต้องมีการปลูกต้นไม้ทดแทนตัดออก 1 ต้น อาจต้องปลูกใหม่มากกว่า 1 ต้น มากน้อยแล้วแต่กรณี


หมอต้นไม้หรือรุกขกรเป็นอาชีพสำคัญอาชีพหนึ่งในสิงคโปร์ คนที่จะทำอาชีพนี้ต้องมีทักษะ อย่างเช่น การทำงานบนที่สูง การใช้เงื่อนเชือก อุปกรณ์การปีน และเครื่องมือเครื่องจักรชนิดต่างๆ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ โรค แมลง เทคนิคการตัดแต่ง ดูแลรักษา ซ่อมแซมและฟื้นฟูต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ใหญ่ในเมือง รุกขกรเป็นสาขาวิชาชีพที่ต้องผ่านการอบรม ผ่านการทดสอบและต้องมีใบอนุญาตการทำงาน


สิงคโปร์ มีรุกขกรอยู่ประมาณ 500 คน ส่วนใหญ่จะอยู่ในบริษัทออกแบบพื้นที่ ส่วนใหญ่จบด้านพฤกษศาสตร์ เกษตรศาสตร์หรือด้านการจัดการพื้นที่ รุกขกรบางคนก็จบภูมิสถาปัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ประเทศมองหาคนที่สนใจทำงานกลางแจ้ง มีความรู้เรื่องต้นไม้และสนใจงานนี้





ที่สิงคโปร์มีรุกขกรทำงานอยู่ใน National Parks Board และอยู่ในส่วนของเอกชน ซึ่งจะออกตรวจตราดูแลต้นไม้ตามสวนและบ้านของคนงานทั่วไป ค่าใช้จ่ายของการออกตรวจตราต้นไม้ของรุกขกรในสิงคโปร์นั้นคิดเป็นรายชั่วโมง ในอัตราประมาณ 150 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือประมาณ 5,700 บาทต่อชั่วโมง


ต้นไม้ที่มีอยู่กว่า 2 ล้านต้น ในสิงคโปร์ ทุกต้นมีประวัติและรายละเอียดบันทึกในฐานข้อมูลของ National Park ต้นอะไร ตั้งอยู่บริเวณไหน อายุเท่าไร มีรายละเอียดทุกอย่างและประวัติการตรวจรักษา นอกจากนี้ยังได้รับการตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ไม่ต่างอะไรกับการตรวจสุขภาพประจำปีของคน


หมวก เข็มขัด และสายรัดตัวนิรภัย ถูกรุกขกรสวมใส่และตรวจดูความแน่นหนาเรียบร้อย อุปกรณ์ทำงานอื่นๆจัดเก็บในกระเป๋าข้างตัว ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปตามความสูงลิ่วของต้นไม้ใหญ่ พวกเขาปีนป่ายไปตามกิ่งก้าน บางจุดไม่มีที่ให้ยึดเกาะ ต้องห้อยโหนอยู่กับสายรัดนิรภัย เคลื่อนตัวไปใช้สองมือทำงาน กลางอากาศ เป็นงานบนที่สูงและเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพแช็งแรง อายุยืนยาวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


Tree House อาคารที่พักอาศัยเขียวสบายตา สบายอารมณ์ ด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมทั้งตัวอาคาร ทุกๆสิ่งก่อสร้างในสิงคโปร์มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่สีเขียวขั้นต่ำ แต่ละอาคารจะปลูกต้นไม้น้อยใหญ่ไปตามสภาพพื้นที่ ทั้งปลูกลงดินหน้าอาคารหรือรอบๆ ตัวอาคาร แต่ที่นี่เรียกได้ว่าทำเกินหน้าที่กฏหมายกำหนด ต้นไม้เลื่อยขึ้นห่อหุ้มทั้งอาคารจนมองไม่เห็นผนังซีเมนต์ แม้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการสร้างอาคารสีเขียวแบบนี้ แต่คนที่อยู่ในอาคารยืนยันอย่างหนักแน่นและภูมิใจว่าคุ้มค่า สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ความหลากหลายของพืชพรรณที่ปลูกไว้ แต่เป็นกำแพงสีเขียวนี้ ช่วยสร้างระบบนิเวศของพืชและสัตว์ จึงทำให้เกิดระบบนิเวศที่สมดุลของพืชและสัตว์


ต้นไม้ที่ขึ้นคลุมตัวอาคารนี้เป็นเหมือนม่านธรรมชาติ ที่ช่วยดักจับมลพิษฝุ่นควันกันเสียง กรองแสงและลดความร้อนที่เข้าสู่ตัวอาคารให้น้อยลง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าลงได้มากถึงร้อยละ 30


นอกจากลดค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานแล้ว สีเขียวของต้นไม้ ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัย เป็นประโยชน์ที่ไม่สามารถวัดและคำนวณเป็นตัวเงินได้








อาคารสีเขียวให้คุณประโยชน์หลายๆอย่าง สมมติว่า คุณทำงานหนักมาทั้งวัน เมื่อมาถึงบ้านเจอกับสีเขียวๆ คุณจะรู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างอากาศที่บริสุทธิ์ อย่างที่ทราบกันว่ามลพิษกำลังเป็นปัญหาในหลายประเทศ ทั้งจีนและไทย กำแพงสีเขียวอย่างนี้จะช่วยสร้างปอดที่สะอาดให้กับพวกเรา ช่วยกรองของเสียอย่างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดูสวยงามและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีไปในตัว อุณหภูมิในตึกก็เย็นกว่าข้างนอกด้วย คุณจะได้รับอากาศที่ดีกว่า สภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและเรื่องสุขภาพก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประเมินราคาได้


ขนาดห้องพักที่เท่ากัน รูปแบบคล้ายกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนกัน แต่อาคารที่มีต้นไม้ให้คุณค่ากับผู้อยู่อาศัยมากกว่าอาคารที่ไม่มีต้นไม้ อาคารที่มีต้นไม้ มีสีเขียวหรือมีสวนสีเขียวบนดาดฟ้า รัฐบาลอนุญาตให้พักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มการออกแบบอาคารสีเขียวมากขึ้น ออกแบบอาคารให้สร้างสรรค์อย่างเช่นอาคารมีสวนลอยฟ้า เป็นสิ่งที่เจ้าของทำให้ผู้อยู่อาศัยทุกคน รัฐบาลยังให้เงินทุนกับพวกเจ้าของโครงการ เพื่อสนับสนุนการสร้างพื้นที่สีเขียว เช่น กำแพงต้นไม้และยังมีการพัฒนาคนในด้านนี้ด้วยทั้งด้านต้นไม้และสถาปัตยกรรม


เมื่อเข้ามาที่ตัวอาคารเราจะเห็นได้ว่าต้นไม้ไม่ได้เลื้อยขึ้นปกคลุมตัวอาคารโดยตรง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นอาจทำให้เกิดปัญหากับผนังไปจนถึงโครงสร้างของอาคาร ไหนจะยังปัญหาเรื่องการใส่ปุ๋ย รดน้ำและตัดแต่งกิ่งก้าน ตัวอาคารถูกออกแบบให้มีแผงกั้นด้านนอกห่างจากผนัง เพื่อเป็นที่ปลูกและให้ต้นไม้ได้ยึดเกาะอย่างสะดวกสบาย


ช่องว่างระหว่างแผงต้นไม้ และผนังตึก ยังสามารถทำเป็นทางเดินให้คนได้อยู่ใกล้ชิดต้นไม้และมีพื้นที่สะดวกต่อการบำรุงรักษาอีกด้วย มีทางเดินให้คนงานไว้เตรียมใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งและเก็บกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่น ส่วนการรดน้ำนั้นถูกออกแบบให้เป็นระบบอัตโนมัติไป พร้อมกับการออกแบบตัวอาคารอยู่แล้ว


เบื้องหลังความเขียวขจีนั้นผ่านการวางแผนและออกแบบอย่างดี ทั้งรูปแบบตัวอาคารและระบบที่เอื้ออำนวยให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดี สิงคโปร์ ไม่ยอมให้ข้อจำกัดด้านพื้นที่มาเป็นอุปสรรคต่อการสร้างพื้นที่สีเขียว ทั่วเกาะจึงมีทั้งสวนบนดิน สวนบนดาดฟ้า สวนในอาคารและสวนแนวตั้ง








นโยบายเมืองในสวนของรัฐบาล กลายมาเป็นสำนึกพื้นฐานของประชาชนโดยมีวัฒนธรรมเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ คนสิงคโปร์ถูกปลูกฝังเรื่องนี้ตั้งแต่กำเนิด


เห็นได้ชัดว่าการให้ความสำคัญกับต้นไม้แต่ละต้นนั้น ต้องใช้เวลาและงบประมาณมหาศาล ในส่วนของเรื่องเวลา คนสิงคโปร์เริ่มต้นกันมานานหลายสิบปีแล้ว


ต้นไม้ไม่ใช่ตัวขัดขวางการพัฒนา หากแต่ต้นไม้คือการพัฒนาการขยายเมือง และสิ่งก่อสร้างสามารถมีขึ้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องแลกกับต้นไม้ใหญ่และพื้นที่สีเขียว


ต้นไม้ทุกต้นที่พวกเขาปลูก ประชาชนเห็นค่าของมันและพวกเขาเข้าใจว่า ถ้าเมืองไม่ร่มรื่น พวกเขาจะไม่มีชีวิตที่ดีแบบนี้ และสาเหตุนี้เอง ที่เราต้องอนุรักษ์และดูแลต้นไม้ของเรา มันจึงเป็นงานที่มีความสุข ผูเคนมีความสุข เราก็มีความสุขด้วย


ทุกวันนี้สิงคโปร์เป็นประเทศร่ำรวย ทั้งเงินทองและต้นไม้ พื้นที่กว่าครึ่งประเทศคือต้นไม้ คนสิงคโปร์ 1 คน มีพื้นที่สีเขียว 66 ตารางเมตร ขณะที่กรุงเทพคนหนึ่งคนมีพื้นที่สีเขียวประมาณ 5 ตารางเมตรเท่านั้น ทอดตามองไปทั่วเกาะ อาคารบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างแทรกตัวอยู่ในแนวต้นไม้น้อยใหญ่เขียวครึ้ม ทั้งสะอาด สดชื่น เขียวขจีและล้ำสมัย


"ผมมีความเชื่อว่าเมืองที่มีภูมิทัศน์เสื่อมโทรมและป่าคอนกรีตทำลาย จิตวิญญาณของมนุษย์"

นี่คือวิสัยทัศน์เรื่องต้นไม้ของ ลี กวนยู ผู้นำสิงคโปร์ที่กล่าวไว้เมื่อ 50 กว่าที่แล้ว


ลี กวนยู นายกรัฐมนตรีคนที่ 1 ของสิงคโปร์


ต้นไม้เดิมถูกเก็บต้นไม้ใหม่ถูกปลูกเพิ่ม รุกขกรถูกฝึกฝน สิ่งก่อสร้างทุกอย่างสร้างขึ้น เพื่อเอื้อกับการมีอยู่ของต้นไม้ สำหรับสิงคโปร์ต้นไม้เป็นของล้ำค่า ทั้งต่อร่างกาย จิตวิญญาณและเศรษฐกิจ สมควรอย่างยิ่งที่พวกมันจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง ดูแลเอาใจใส่และเยียวยาให้มีชีวิตอยู่ตราบนานเท่านาน

























ความคิดเห็น