ช่องทางการสร้างรายได้จากออนไลน์
มีเวลาว่างตอนไหนก็ทำได้ กับวิธีการเริ่มเขียนบล็อกสำหรับมือใหม่
บล็อกคือออะไร?
คำว่าบล็อก (blog) มาจากคำว่า เว็บ-ล็อก (web-log) ซึ่งเป็นการเขียนบทความอธิบายหรือให้ข้อมูลเพื่อนำไปเผยแพร่บนเว็บไซด์ที่ให้บริการ เปรียบเสมือนเป็นสื่อกลางหรือสถานที่เก็บบทความ ที่เป็นที่นิยมอยู่หลายเว็บไซด์ เช่น Medium, BlognoneและDek-D ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นที่เปิดให้สามารถเข้าไปเขียนบทความเผยแพร่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายผู้ที่เข้าไปเขียนบล็อกและเผยแพร่ข้อมูลมีชื่อเรียกเฉพาะว่า บล็อกเกอร์ และหากบล็อกเกอร์คนใดมีผู้ติดตามจำนวนมาก อาจกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ผลิตเนื้อหาที่ส่งผลต่อทัศนคติ การตัดสินใจหรือชี้นำคนในสังคมให้คล้อยตามได้
อินฟลูเอนเซอร์คืออะไร?
อินฟลูเอนเซอร์ เป็นผู้มีอิทธิพลในสื่อสังคมและได้รับความนิยมมีคนติดตามบนโลกออนไลน์จำนวนมากการนำเสนอเนื้อหาใดจากอินฟลูเอนเซอร์จะส่งผลกระทบต่อสังคมหรือกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องนั้นๆโดยอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมในด้านที่ตนเองเชี่ยวชาญหรือสนใจ เช่น ความงาม แฟชั่น ท่องเที่ยว การชิมอาหาร เกม ดนตรีและภาพยนต์ รวมไปถึงดาราหรือคนดัง อาชีพนี้จะมีรายได้จากค่าโฆษณาหรือมีผู้จ้างให้แนะนำสินค้า
แพลตฟอร์มสำหรับการเขียนบล็อก
การเขียนบล็อกสามารถทำได้บนแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเขียน เผยแพร่ และนำเสนอบนสื่อสังคมสำหรับผู้เริ่มต้น อาจเลือกใช้รูปแบบที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มหรืออาจเพิ่มเติมปรับแต่งรูปแบบตามความชอบ โดยแต่ละแพลตฟอร์มจะมีจุดเด่น หรือรูปแบบที่ให้ปรับแต่งแตกต่างกันออกไป แพลตฟอร์มที่เป็นนิยม เช่น WordPress,ฺ Blogger, Medium, Blognone, Dek-D, Nation Blog, BloggangและStorylog
ขั้นตอนการเขียนบล็อก
การเขียนบล็อก ควรเริ่มจากการวางแผน ว่าจะเขียนเรื่องอะไร วางเค้าโครง จัดเตรียมข้อมูล เขียนคำโปรย เพื่อแนะนำเนื้อหาและดึงดูดความสนใจ หลังจากนั้นให้ลงมือเขียน อาจเขียนรวดเดียวจบ หรือให้จบเป็นส่วนๆ หลังจากนั้นควรจัดหาภาพประกอบเพื่อช่วยอธิบายเรื่องยากๆ ช่วยดำเนินเรื่องราว หรือใส่มุกตลก เพื่อเสริมให้บทความดูน่าสนใจมากขึ้น และหลังจากที่ได้บทความแล้ว ให้ทำการแก้ไข ตรวจทานความซ้ำซ้อน ตรวจทานการดำเนินเรื่อง และอาจให้ผู้อื่นลองอ่านและวิจารณ์โดยแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้
1.การวางแผน
ไม่ว่าผู้เขียนบล็อกจะเชี่ยวชาญเพียงใด การเขียนบทความหนึ่งไม่ได้ใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การวางแผนจึงควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1.1)กำหนดเรื่องที่จะเขียน
ผู้เขียนควรเขียนเรื่องที่ตนเองสนใจเพราะถ้าผู้เขียนไม่มีความสนใจในเรื่องที่จะเขียนแล้ว ความไม่น่าสนใจจะถูกถ่ายทอดลงไปยังบทความที่เขียน และส่งต่อไปยังผู้อ่านได้ ถ้าหากเรามีอาชีพเป็นนักเขียน บางครั้งเราอาจเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเขียนเรื่องอะไร แต่ด้วยความเป็นบล็อกเกอร์แล้ว เราสามารถกำหนดเรื่องที่เขียนเองได้ ทำให้เราได้เปรียบในจุดนี้ การเขียนบล็อกที่ดี ควรมีเนื้อหาที่ชักชวนให้ผู้อ่านได้เข้ามามีส่วนร่วมให้กระทำการบางอย่างหลังจากอ่านเนื้อหาจบลงแล้ว อาจใช้คำพูดเชิญชวนปิดท้าย เช่น หากเขียนรีวิวสินค้า อาจลงท้ายด้วย "ซื้อตอนนี้แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง" เพื่อเป็นการสื่อให้ผู้อ่านคล้อยตาม และทำในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ
ขอเพิ่มเติมถ้าต้องการเผยแพร่เนื้อหาเพื่อให้ผู้อ่านเข้ามามีส่วนร่วมหรือชักชวนให้ผู้อ่านได้กระทำการใดๆเราสามารถใช้วิธีการที่เรียกว่าCall to Action ซึ่งเป็นข้อความที่ชักชวนหรือแนะนำให้ผู้อ่านกระทำตามเนื้อหาที่ผู้เขียนได้เขียนในบล็อกหรือในสิ่งอื่น เช่น วิดีโอ โดยทั่วไปข้อความเหล่านี้มักจะปรากฏในช่วงท้ายของเนื้อหา "มาร่วมกับเราตอนนี้เลย" "สมัครเลยวันนี้" "ทดลองใช้ฟรี" ซึ่งส่งผลถึงยอดผู้อ่านโฆษณาสินค้าทางดิจิทัล หากมีผู้อ่านหรือผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนก็จะกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในเนื้อหาด้านนั้น
1.2)วางเค้าโครงเรื่อง
ก่อนที่จะเริ่มเขียนบทความใดๆ ผู้เขียนควรวางเค้าโครงเรื่องเพื่อให้แน่ใจว่า บทความที่จะเขียนมีเนื้อหาที่ครอบคลุม ครบถ้วน สมบูรณ์และเข้าใจง่าย
การวางเค้าโครงเรื่องจะช่วยให้เนื้อหาที่เขียนอยู่ในกรอบที่ต้องการ และช่วยให้เนื้อหาดำเนินไปอย่างเป็นขั้นตอน การเขียนเค้าโครงไม่จำเป็นต้องละเอียด หรือมีรูปแบบสวยงาม แต่ต้องครบถ้วนสมบูรณ์
2.ค้นคว้า
ผู้เขียนบทความหลายคน อาจไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในเนื้อหาที่จะเขียน แต่การค้นคว้าหาข้อมูลในสิ่งที่สนใจสามารถทำได้ง่ายและสะดวกในยุคดิจิทัล
การกำหนดเรื่องที่เราสนใจ จะเข้ามามีบทบาทในขั้นตอนนี้เพราะการที่เราสนใจ เราจะมีความสุขและความมุ่งมั่นในการค้นคว้าหาข้อมูลทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจและปริมาณเพียงพอที่จะเรียบเรียงบทความได้
3.ตรวจสอบข้อมูล
ข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้า หรือจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป และหากเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้เขียน
4.การเขียนคำโปรย
คำโปรยเป็นประโยคสั้นๆ ที่สรุปและเชื้อเชิญให้ผู้อ่านเข้าไปอ่านเนื้อหาโดยละเอียด การเขียนคำโปรยควรใช้ภาษาที่จูงใจหรือดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้อยากรู้เนื้อหาโดยละเอียด
บางครั้งผู้เขียนคำโปรยอาจใช้เทคนิคที่เรียกว่า คลิกเบต (clickbait) ซึ่งเป็นการเขียนเพื่อหว่านล้อมให้เข้าไปอ่านเนื้อหาทั้งๆ ที่เนื้อหาไม่มีความน่าสนใจเพียงพอ คำที่พบบ่อย เช่น ตะลึง!! อึ้ง!! แล้วคุณจะคาดไม่ถึง!! รีบดูก่อนโดนลบ!! คลิกเข้าไปดูสิ!! แม้ว่าการเขียนคำโปรยแบบคลิกเบตจะทำให้ผู้คนสนใจและเข้าไปอ่านเนื้อหา แต่เป็นการกระทำที่หลอกลวง และอาจลดความน่าเชื่อถือของบล็อกได้
การเขียนคำโปรย ควรคำนึงถึงผู้อ่านว่าสนใจเรื่องใด และควรใช้ภาษาในระดับใด แม้ว่าจะเป็นบทความในเรื่องเดียวกัน แต่คำโปรยต่างกัน ย่อมดึงดูดผู้อ่านต่างกัน
5.การเขียน
หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้อง วางโครงเรื่อง เขียนคำโปรย และได้ชื่อเรื่องที่สื่อถึงเนื้อหาที่จะเขียนแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการเขียนบทความ
การเขียนนั้น อาจเขียนคราวเดียวจบ หรืออาจจะแบ่งเป็นส่วนๆแล้วค่อยๆ เขียนไปทีละส่วนก็ได้ แต่นักเขียนส่วนใหญ่จะแนะนำว่า ควรที่จะเขียนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในคราวเดียวเพื่อให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่เขียน ทำให้ไม่ลืมเนื้อหาที่เป็นจุดสำคัญที่ต้องการให้ปรากฏในบทความ
หลังจากที่เขียนบทความแล้ว ทุกครั้งที่กลับมาอ่าน อาจต้องการเพิ่มเติม หรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาในบางส่วน เมื่อปรับเปลี่ยนหลายครั้ง อาจทำให้เนื้อหาในบทความคลาดเคลื่อนจากประเด็นที่ต้องการจะสื่อ ดังนั้นการเขียนบทความควรเขียนให้จบในคราวเดียว
6.การใช้ภาพประกอบ
ในปัจจุบัน ผู้อ่านมักมีสมาธิจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือในเวลาจำกัด ถ้าบทความในบล็อกไม่มีภาพประกอบ ผู้อ่านส่วนใหญ่อาจให้ความสนใจไปรับข้อมูลจากสื่ออื่น เช่น เฟซบุ๊กหรือยูทูบ การใช้ภาพประกอบช่วยลดความรู้สึกอึดอัดในการเห็นเฉพาะตัวหนังสือและการใช้ภาพประกอบจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจการดำเนินเรื่องของบทความโดยผู้อ่านสามารถกวาดตามองทั้งบทความเพื่อดูว่าบทความนี้เกี่ยวกับอะไร นอกจากนี้การใช้ภาพยังช่วยสร้างจุดสนใจหรือเสริมความเข้าใจในการอ่านข้อความรวมทั้งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาที่ไม่สามารถบรรยายด้วยตัวอักษรได้
7.การตรวจทานแก้ไข
ขั้นตอนนี้นอกจากจะตรวจทานเพื่อแก้ไขตัวสะกดและไวยากรณ์แล้ว ผู้เขียนควรตรวจทานว่ามีการเขียนประเด็นที่ซ้ำกันหรือไม่
ในการตรวจทาน อาจอ่านออกเสียงเพื่อตรวจสอบความต่อเนื่องของบทความ หรืออาจให้ผู้อื่นช่วยอ่าน
เพื่อตรวจทานด้วย
การเขียนที่ดีควรเขียนให้กระชับ ในแต่ละย่อหน้าควรจะมีเพียงประเด็นเดียว โดยอาจมีประโยคที่กล่าวถึงประเด็นหลักไว้ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของย่อหน้า เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น
การเขียนบล็อกอาจเป็นเรื่องที่ดูไม่ยากนัก หากยังไม่เคยทดลองเขียน แต่ในการเขียนจริงนั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ผู้ที่ต้องการเป็นบล็อกเกอร์ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน ควรที่จะเขียนบทความออกมาให้มากที่สุด และต้องยอมรับว่าไม่มีงานเขียนใดที่สมบูรณ์แบบ แม้ในปัจจุบันจะมีเครื่องมือที่ช่วยให้เขียนได้ง่ายขึ้นก็ตาม








ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น