ท่ารำและกฏเกณฑ์บังคับในนาฏศิลป์ไทย
1.ปัดเกล้า ต้องปัดเกล้าทางมือซ้าย
2.ยิ้ม ต้องใช้มือซ้าย
3.จีบเข้าอก ที่หมายถึงตัวเรา ต้องใช้มือซ้าย
4.ถ้าจะเข้าอก หมายถึงตัวเรา จะใช้มือขวา ต้องใช้นิ้วชี้ ชี้ที่อก
5.จีบเข้าอกมือขวา เช่นในการรำลงสรง กล่าวถึงเครื่องแต่งกาย คือ ทับทรวง
6.เช็ดน้ำตา ใช้มือซ้าย
7.โอด ต้องใช้มือซ้าย
8.เวลารำสี่ทิศ ต้องหันทางซ้ายก่อน นอกจากจรกาในเรื่องอิเหนา ตอนรำบวงสรวง หันทางขวา ตัวเดียว
9.เวลาเริ่มเดิน จะเริ่มเดินด้วยการก้าวขาซ้าย
10.รัวออกต้องก้าวขาซ้ายก่อน
11.เวลารำเพลงหน้าพาทย์ตระต่างๆ ต้องใช้มือซ้ายก่อน เช่น ตระนิมิตร ในท่าสอดสูงต้องเร่มจากมือซ้ายสอดสูงก่อน
12.เวลาก้าวขึ้นเตียง ต้องก้าวขาซ้ายขึ้นก่อน เวลาลงจากเตียงก็ต้องใช้ขาซ้ายลงก่อน
13.เวลาลงสรง นั่งเตียงเวลารำท่าสวมสนับเพลา ต้องก้าวขาขวาลงจากเตียงแล้วยกขาซ้าย
14.เวลานั่งเตียง ทรงพระสำอาง ต้องนั่งหันด้านซ้าย
15.เวลารำคู่พระ - นาง พระต้องอยู่ทางด้านซ้ายมือของนาง
16.หมอนอิง ต้องอยู่ทางด้านซ้ายมือของตัวละคร
17.คนกางกลด ถ้าเป็นโขนหรือละครที่ปลูกโรง มีทางเข้าออกสองทาง คนกางกลดต้องอยู่ทางขวามือของตัวละคร โขน แล้วจึงตามหลังเมื่อตัวละครรำไปข้างหน้า ถ้าแสดงกลางแจ้ง คนกางกลดต้องอยู่ด้านซ้าย เพื่อให้ตัวละครท้าวกลดแทน
18.ป้องหน้า ต้องใช้มือซ้ายป้อง
19.อาย ต้องใช้มือซ้ายอาย
20.เวลานอน ต้องคลายมือซ้ายลงทอดตัวนอนทางด้านซ้าย
21.ถัดเท้า พระ ต้องถัดเท้าหน้า นางถัดเท้าหลัง(ปัจจุบันเห็นถัดเท้าหลังเหมือนกันหมด)
22.การเข้าออกของตัวละคร ต้องออกทางขวา เข้าทางซ้าย นอกจากกรณีแปลงตัว ตัวจริงเข้าทางไหน ตัวแปลงต้องออกทางนั้น
23.ถ้ามีการรบพุ่งกัน หรือมีการต่อสู้ ผู้ชนะต้องอยู่ขวามือ ผู้แพ้อยู่ซ้ายมือ
24.ตัวละครที่เป็นผู้สูงศักดิ์ จะรำเพลงยานี ต้องนั่งคุกเข่า
25.การแสดงละครในหรือโขน ห้ามนั่งเตียงแล้วห้อยขา
26.การตีบทละครใน ห้ามใช้บทซ้ำมือ หรือใช้ดาบหรือพระขรรค์หรืออาวุธ ชี้
27.การรำในเพลงร้องร่าย ละครในกับละครนอกต่างกัน วิธีรำร้องร่ายละครใน ต้องร้องทวน เราเรียกร้องรื้อร่าย เช่น ในบทละครในเรื่อง อิเหนา
"เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี"
เมื่อนั้น ผู้รำต้องกระทบก้น ระเด่นมนตรี มือซ้ายจีบเข้าอก เรืองศรี ผู้รำต้องเอามือขวาที่วางไว้บนตักมาจีบคว่ำแล้วคลายจีบหงายไปตั้งวงบน ส่วนมือซ้ายนำไปจีบหงายส่งไปข้างหลัง เวลาร้องทวน เมื่อนั้น ไว้มือใช้หน้า ระเด่นมนตรี ตั้งวงข้างหน้า มือขวาสูงแค่แง่ศีรษะ มือซ้ายระดับปาก เรืองศรี รำร่าย มือขวากวดข้อมือแล้วตั้งวง มือซ้ายวาดลงมาจีบหงายส่งไปด้านหลัง ถ้าเป็นละครนอก ไม่ต้องร้องทวน ตัวอย่าง เช่น
"เมื่อนั้น โฉมเจ้าไกรทองพงศา"
เมื่อนั้น ผู้รำกระทบก้น โฉมเจ้าไกรทอง มือซ้ายจีบเข้าอกพงศา นำมือซ้ายที่จีบเข้าอกโบกขึ้นไปตั้งวง
28.โอ้ตัวตีไหล่ ของละครพันทาง ถ้าเป็นลาวโอ้ตัวตรงๆ ไม่ต้องที่ไหล่
29.พม่า เวลาเดินต้องสูดเท้า
30.การรำเบิกโรง ต้องใช้ผู้แสดง 2 ตัวเท่านั้น เช่น รำประเลง รำกิ่งไม้เงินทอง รำฉุยฉายเบิกโรง กิ่งไม้เงินทอง ถ้ามากกว่า 2 ตัวไม่เรียกว่ารำเบิกโรง แต่เรียกว่า ระบำเบิกโรง อีกอย่างหนึ่งก็คือ การแสดงเป็นเรื่องราว เป็นชุดเป็นตอน เช่น ละครเบิกโรงเรื่องพระคเณศเสียงา เรื่องมหาพลี เรื่องเมขลา - รามสูร เป็นต้น
31.คำว่า " ตื่นกลอง" หมายถึง ท่ารำในเพลงกลม หรือเชิดฉิ่ง เช่น เชิดฉิ่งนางเมขลา เชิดฉิ่งนางศุภลักษณ์ ตัวรำจะต้องเก็บเท้า
32.หน้าทับ หมายถึง จังหวะของตะโพน ที่ผู้รำจะต้องคอยฟังและลงจังหวะตามเสียงตะโพน
33.ไม้ลา คือ จังหวะตะโพนที่เรานับได้ เช่น 4 ไม้ เมื่อตะโพน หรือกลองตีถี่ๆ เรานับไม่ได้ เรียกว่า ลา เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "สีไม้แล้วลา" แต่เพลงชำนาญ กระบองกัน ไม่มีไม้ลา เขาเรียกว่า "ไม้ประดล"
34.เสนาทางขีดขินพระนคร นั่งทางขวาของพระราม ทางชมพูพระนคร นั่งทางซ้ายของพระราม
35.ตรวจพลยกทัพของละคร ไม่มีหลบฉากเหมือนโขน ผู้แสดงเป็นคนธงออกเป็นคนแรก ต่อมาเป็นเสนา หรือพลทหาร ถ้ามีนายทัพรองหรือทัพหน้า ตัวแม่ทัพรองจะออกตรวจพลและถามทหารว่า พร้อมหรือยัง จะคอยรับแม่ทัพแม่ทัพ ต่อจากนั้น ตัวนายทัพหรือแม่ทัพจึงจะออกตรวจพล แล้วสั่งให้เคลื่อนกองทัพกับนายทัพรองหรือแม่ทัพหน้า ส่วนการตรวจพลยกทัพของโขน ผู้แสดงเป็นคนธงออกตามด้วย เขน แล้วจึงถึงเสนา ถ้าเป็นทัพยักษ์ มโหธรกับเปาวนาสูร เสนาผู้ใหญ่จะออกตรวจทัพ แล้วจึงทศกันฐ์ ถ้าเป็นทัพพลับพลา คนธงออก ตามด้วยเขนแล้วจึงเป็นสิบแปดมงกุฎ จากนั้นลิงพญาจึงออก เช่น สุครีพ หนุมาน องคต ฯลฯ จากนั้น พระรามออกฉาก 9 ตรวจพล แล้วหลบฉากเข้าโรง พระลักษณ์จะออกฉาก 2 ตรวจพลแล้วหลบฉากเข้าโรง พระรามออกฉาก 3 พระลักษณ์ตามออกมาด้วย
36.คำว่า "นั่นแหละ" ละครใน ดึงแขน หักข้อมือ แล้วหงายมือลงมา จีบขึ้น กวดข้อมือ แล้วตั้งวง ส่วนละครนอก ต้องหงายมือลงมาจีบขึ้นกวดข้อมือแล้วตั้งวง
37.ละครพันทาง พระเจ้ากรุงอังวะ(พม่า) ใสยอดนาค บางครั้งจะใส่เสวียน พระเจ้าราชาธิราช(มอญ) ใส่ยอดหงส์
38.การโพกผ้า มอญโพกผูกไว้ด้านหลัง ส่วนพม่า - ลาว โพกผ้า แล้วนำมาผูกไว้ข้างขวา
39.ยอดพระลอ ปกติเป็นมุ่นมวย รัดด้วยรัดเกล้าเสียบปิ่นข้างหลังมุ่นมวย คือ ส่วนชะโงกต้องอยู่ด้านหน้า ตอนตามไก่ที่ถูกต้องต้องสวม มงกุฏไชย เช่น ปู่เจ้า ตรงตามบทร้องที่ว่า "ทรงมงกุฎภูษาสรรพ"
40.การนุ่งผ้าของพระลอ นุ่งผ้าไว้หางหงส์ และมีปรกข้างหลัง
41.พระลอ เวลาเข้าห้องพระเพื่อนพระแพง พอรำเพลงเสมอแล้วจูงสองนางขึ้นเตียง พระลอต้องส่งพระเพื่อนขึ้นนั่งเตียงทางด้านซ้ายก่อน คือด้านหัวเตียง แล้วจึงส่งพระแพงขึ้นนั่งเตียงทางขวา แล้วพระลอจึงขึ้นนั่งเตียง แต่ก่อนที่พระลอจะเสด็จมา พระเพื่อนกับพระแพง ต้องนั่งให้ตรงตามตำแหน่งก่อน คือ พระเพื่อนต้องนั่งทางซ้าย คือ ด้านหัวเตียงเพราะมีศักดิ์เป็นพี่
42.ในละครในเรื่องอิเหนา ลงสรงโทนใช้กับพวกวงศ์เทวา ส่วนพงก ระตูใช้ลงสรงสุหร่าย
43.การเหน็บกริช ให้เอาหัวกริชลง
44.บางครั้ง ครูเรียกสะโพกว่า "ตะคาก" เช่น สั่งว่าให้กดตะคากลง(ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2496 ให้ความหมายว่าตะคาก น. แง่กระดูกเชิงกรานที่บั้นเอว,หัวตะคากก็เรียก)
45.เร่ เป็นชื่อท่ารำใช้เรียกท่าที่จะเหาะลง เช่น ตอนที่นางเบญจกายแปลงเป็นนางสีดา เหาะมาถึงเขาเหมติรัน ดังบทร้องที่ว่า
"ครั้งถึงเหมติรันบรรพต ก็เลื่อนลดลงจากเวหา..."
ตรงบทที่ว่า ก็เลื่อนลดลงจากเวหา ผู้รำจะต้องก้าวขาขวาไปข้างหน้า มือขวายกสอดสูง มือซ้าย ตึงแขน หักข้อตั้ง ขาซ้ายยกขึ้น เท้าขวา เลื่อนไปข้างๆ เอียงศีรษะทางซ้าย ท่านี้เรียกว่าท่าเร่ แปลว่าเหาะลง
46.ตัวนางลงสรงใช้เพลงชมตลาด เท่านั้น มีที่แปลกออกไปคือ ลงสรงชมตลาดของนางคันธมาลี ที่มีสร้อยต่อออกมาว่า "อีเล็กๆ เอ๊ยยย" แล้วเจรจาตลกกับนางกำนัลทุกๆคำ หลังเจรจาตลกแล้วจึงร้องเพลง ชมตลาดทวนอีกครั้ง
47.สีเสื้อของพระเอกละครรำ ส่วนใหญ่นิยมใช้กันอยู่ 3 สี คือ เหลือง แดง และเขียว ผู้เป็นพระเอกนักรบมักแต่งสีแดง เช่น อิเหนา ส่วนพระลอแต่งสีเหลือง พระสุธน แต่งแดงตอนเดินป่า มีสีเขียวบ้างบางตอน
48.นางเอก นุ่งเขียวห่มแดงขลิบเขียว เช่น นางบุษบา ส่วนนางจินตะหรานุ่งแดงห่มเขียวขลิบแดง ส่วนละครเบิกโรงตอนนารายณ์ปราบนนทุก นางนารายณ์เป็นตัวเอก จึงต้องนุ่งเขียวห่มแดง เช่นเดียวกับนางเอก
49.เครื่องประดับข้อมือ มีกำไรข้อมือแผง ต่อมาเป็นปะวะหล่ำ ต่อมาจึงเป็นแหวนรอบ แล้วจึงถึงสุดท้ายคือลูกไม้ปลายมือ
50.นางอยู่งานพัด นั่งด้านขวา นางอยู่งานปัดแส้อยู่ด้านซ้าย
ที่มา : จากหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพนายอุดม กุลเมธพนธ์(อังศุธร)

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น